ธรรมเทศนา เรื่องทิฐิ ๓

เพื่อสนทนาธรรม และแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เพื่อความเป็นกัลยาณมิตร กัลยาณธรรมที่ดีต่อกัน

ธรรมเทศนา เรื่องทิฐิ ๓

Postโดย วิเวก » Sun Sep 19, 2010 4:56 pm

ธรรมเทศนา โดยพระอาจารย์วิชัย กมฺมสุทโธ
สถานปฏิบัติธรรมป่าวิเวกสิกขาราม อ.พล จ.ขอนแก่น
วันเสาร์ที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๕๓

การไม่วิวาทกัน การสามัคคีกัน เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ นี้เป็นพุทธพจน์ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้
ทำไมพระพุทธองค์จึงตรัสเช่นนั้น เพราะการวิวาทกันเกิดจากทิฐิ ความเห็นที่ต่างกัน มีความถือมั่นในทิฐิ ไม่มีทิฐิสามัญตา เห็นว่า แม้แต่ทิฐินั้น ก็ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา
การถือมั่นในทิฐิเป็นการหลงในสมมติ เมื่อไม่หลงในสมมตินั้น จึงไม่วิวาทะ มีความเห็นเหมือนกันโดยธรรม จึงสามัคคีกัน
เหตุนั้นคำสอนนี้จึงมุ่งต่อพระนิพพาน
เมื่อพระสารีบุตรได้ฟังพระพุทธเจ้าสอนฑีฆนขะ เรื่องทิฐิ ๓ คือ คนในโลกนี้ มีทิฐิเป็น ๓ จำพวก
พวกที่ ๑ สิ่งทั้งหลายคู่ควรแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าชอบใจทั้งสิ้น
พวกที่ ๒ สิ่งทั้งหลายไม่คู่ควรแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่ชอบใจทั้งสิ้น
พวกที่ ๓ สิ่งทั้งหลายที่คู่ควรแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าชอบใจ สิ่งที่ไม่คู่ควรแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่ชอบใจ
เมื่อบุคคลใดถือมั่นในทิฐิพวกใดพวกหนึ่ง ย่อมขัดแย้งกับทิฐิอีก ๒ จำพวก
ผลแห่งการขัดแย้งย่อมเกิดวิวาทะกัน เมื่อเกิดวิวาทะกันย่อมเบียดเบียนกัน เมื่อเบียดเบียนกันย่อมก่อเวรซึ่งกันและกัน
เหตุนั้นผู้มีปัญญาเห็นเช่นนี้ ย่อมละทิฐิที่ตัวเองถืออยู่ และไม่ไปถือมั่นทิฐิอื่นด้วย
เมื่อพระสารีบุตรพิจารณาตาม จึงสำเร็จเป็นพระอรหันต์
เหตุนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัส ตัณหา ทิฐิ มานะ เป็นธรรมที่เนิ่นช้า ให้ละ พระองค์ไม่มี ตัณหา ทิฐิ มานะ



ข้อธรรม จากพระอาจารย์วิชัย กมฺมสุทโธ
สถานปฏิบัติธรรมป่าวิเวกสิกขาราม อ.พล จ.ขอนแก่น
วันเสาร์ที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๕๓
พระนิพพานไม่มีใครจะทำลายได้ พระนิพพานมีอยู่แล้ว ทั้งก่อนที่พระพุทธเจ้าจะมาตรัสรู้ และเมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว ก็ยังมีอยู่
ศาสนาเจริญและเสื่อมที่ใจมนุษย์คน การสืบทอดพระศาสนา คือการประพฤติ ปฏิบัติให้เห็นธรรม บรรลุธรรมในใจตนเอง นั่นเอง ภายนอกเป็นสิ่งสมมติหมด เพียงแค่อาศัย ไม่ควรไปยินดียินร้าย เพราะสิ่งเหล่านั้น เกิดขึ้น แล้วก็ดับไป เป็นไปตามเหตุปัจจัย จึงไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา


ขอทุกท่านเจริญในธรรม
บางช่วงจากพระธรรมเทศนา โดยพระอาจารย์วิชัย กมฺมสุทโธ
เรื่อง ทำไมทิฏฐิเป็นธรรมที่เนิ่นช้า

อาหารบิณฑบาตฉันก็แก้หมดเหมือนกัน ฉันเพิ่มเติม ตัดส่วนบางส่วนเพิ่มเติม เพื่ออะไร เพื่อเอาสัจจธรรมออกมาพูด แล้วให้ไปขบคิดดูสิ สักวันหนึ่งคำพูดเหล่านี้เขาอาจจะได้ฉุกคิด ไม่ว่าพระชีหรือฆราวาสที่ได้ยินได้ฟัง ถ้าเขาได้ฉุกคิด วันหนึ่งเขาจะรู้ถึงคุณค่ามหาศาลของอาหารบิณฑบาตที่ฉันพาพูด จะรู้ถึงคุณค่ามหาศาลสิ่งที่ฉันเอาออกมา เพราะมันเป็นหญ้าปากคอก มันเป็นส่วนที่ดำเนินเข้าไปสู่ความเป็นอนัตตานั่นเอง เอ้า ก็ขอยุติแต่เพียงเท่านี้ ยะถา วาริวะหาฯ.


บทพิจารณาอาหาร

อาหารบิณฑบาต ที่ได้มาในวันนี้ ได้มาด้วยอานุภาพ คุณแห่งพระพุทธเจ้า ได้มาด้วยอานุภาพ คุณแห่งพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ได้มาด้วยอานุภาพ คุณแห่งพระอริยสงฆเจ้า ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมาก่อน

อาหารนี้ประกอบด้วยธาตุ๔ ดินน้ำไฟลม เป็นของปฏิกูล ไม่เที่ยง เกิดตามเหตุปัจจัย ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง

กายนี้ประกอบด้วยธาตุ๔ ดินน้ำไฟลม เป็นของไม่สวยงาม เกิดตามเหตุปัจจัย ต้องแก่เจ็บตายไป ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา

การฉันอาหารนี้ เพียงแค่อาศัย เพื่อดับความหิว ล้วนแล้วแต่เรื่องเหตุปัจจัย เรื่องของธาตุ
วิเวก
 
จำนวนผู้ตอบ: 37
สมัครสมาชิก: Fri Mar 19, 2010 12:14 am

กลับไปหน้า ธรรมเพื่อชีวิต

ผู้ที่กำลัง online

ผู้ที่กำลังอ่าน forum นี้: สมาชิก ไม่มีสมาชิก และ ผู้เยี่ยมชม 1 คน

cron