ประโยชน์

เพื่อสนทนาธรรม และแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เพื่อความเป็นกัลยาณมิตร กัลยาณธรรมที่ดีต่อกัน

ประโยชน์

Postโดย นิรทุกข์ » Sat Oct 02, 2010 4:11 pm

ไปอ่านเจอมา เห็นว่าเกี่ยวข้องและน่าจะเป็นประโยชน์ ขอนำมาแบ่งกันอ่านครับ


เรื่องขันธ์ มหาสติปัฏฐานสูตรในกายานุปัสสนาก็ดี เวทนานุปัสสนาหรือว่าจิตตานุปัสสนาถึงข้อนิวรณ์ 5 อันนี้ เป็นสมถกรรมฐาน ตอนที่ว่าด้วยขันธ์นี่เป็นวิปัสสนากรรมฐาน ขันธ์ก็แปลว่ากอง ขันธ์ 5 แปลว่า มีอยู่ 5 กอง คือ 1 รูป 2 เวทนา 3 สัญญา 4 สังขาร 5 วิญญาณ คำว่าวิญญาณตัวนี้ไม่ใช่จิต เป็นวิญญาณที่เกาะอยู่กับขันธ์ 5 เรียกว่าประสาท การพิจารณาขันธ์ 5 นี่เป็นปัจจัยให้ได้โสดา สกิทา อนาคา อรหันต์ ในอริยสัจ 4 ก็เหมือนกัน อริยสัจ 4 ก็เป็นการพิจารณาขันธ์ 5 คือทุกข์หรือว่าสมุทัยที่เกิดกับขันธ์ 5 ขันธ์ 5 เป็นปัจจัยแห่งพระนิพพาน คือคนที่จะบรรลุพระโสดา สกิทา อนาคา อรหันต์ อาศัยขันธ์ 5 เป็นปัจจัย


มีพระสูตรหนึ่ง สูตรนี้ก็มีอยู่ในพระธรรมบทขุททกนิกาย หรือว่ามาจากพระไตรปิฎก เรื่องมีอยู่ว่า สมัยหนึ่งบรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายที่บวชใหม่ เข้าไปกราบทูลลาองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ตั้งใจจะไปเจริญพระกรรมฐานในป่า หวังให้บรรลุมรรคผล ตอนนั้นองค์สมเด็จพระทศพลจึงได้มีพระพุทธฎีกาตรัสถามว่า

"ภิกขเว ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอไปลาพระสารีบุตรแล้วหรือยัง"

บรรดาพระทั้งหลายเหล่านั้นจึงกราบทูลว่ายังพระพุทธเจ้าข้า พระพุทธจ้าจึงทรงมีพระบัญชาว่า อย่างนั้นก่อนที่เธอจะไปเธอจงไปลาพระสารีบุตรเสียก่อน พระเหล่านั้นก็รับคำแล้วก็ลาพระพุทธเจ้าออกไปจากพระมหาวิหารเข้าไปหาพระสารีบุตร พอเข้าไปถึงพระสารีบุตร พระสารีบุตรให้โอวาทอื่นพอสมควร แล้วพระทั้งหลายเหล่านั้นจึงได้ถามพระสารีบุตรว่า

"พวกกระผมเป็นปุถุชน ถ้าจะปฏิบัติตนให้เป็นพระโสดาบันจะทำยังไงขอรับ "

พระสารีบุตรก็บอกว่า ถ้าพวกเขาทั้งหลายปรารถนาเป็นพระโสดาบัน ก็จงพิจารณาขันธ์ 5 ว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันนี้มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในขันธ์ 5 ขันธ์ 5 ไม่มีในเรา ปลงให้ตกจนกว่าจะเลิกสังโยชน์ 3 ได้ คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพตปรามาส เมื่อปลงขันธ์ 5 อย่างเดียวสังโยชน์ 3 มันจะขาดไปเอง เมื่อสังโยชน์ 3 ขาดลงไปแล้ว พวกเธอก็จะได้เป็นพระโสดาบัน พระพวกนั้นก็เลยถามต่อไปว่า

เมื่อผมเป็นพระโสดาบันแล้วจะเป็นพระสกิทาคามีจะทำยังไง ท่านก็บอกว่าพิจารณาขันธ์ 5 ตามแบบนั้นแหละพิจารณาละเอียดลงไปก็จะเป็นพระสกิทาคามีเอง พระพวกนั้นก็ถามต่อไปว่า เมื่อพวกกระผมเป็นพระสกิทาคามีแล้ว จะเป็นพระอนาคามีจะทำยังไง ท่านก็บอกว่าปลงขันธ์ 5 นั่นเองทำอย่างว่านั้นแหละ แล้วกามฉันทะกับปฏิฆะ คือการกระทบกระทั่งจิต การโกรธ ความพยาบาท มันก็จะสิ้นไปเอง ก็จะเป็นพระอนาคามี ท่านพวกนั้นก็ถามต่อไปว่า ถ้าผมเป็นพระอนาคามีแล้ว ผมจะเป็นอรหันต์จะต้องทำอย่างไร ท่านบอกว่าพิจารณาขันธ์ 5 ตามที่บอกมานั่นแหละก็เป็นพระอรหันต์ไปเอง สังโยชน์ 10 ก็จะขาดไป พระพวกนั้นก็จะถามว่า เมื่อเป้นพระอรหันต์ละสังโยชน์ 10 ได้แล้วการพิจารณาขันธ์ 5 ไม่ต้องทำต่อไปใช่ไหมขอรับ พระสารีบุตรตอบว่าไม่ใช่ พระอรหันต์นี่แหละทำหนัก ยิ่งพิจารณาหนักเพื่อความอยู่เป็นสุข ขันธ์ 5 ตัวเดียวเท่านั้นแหละเป็นเหตุละกิเลสได้ทุกตัว ในขันธวรรคแห่งพระไตรปิฎก

พระพุทธเจ้าบอกว่า ธรรมะส่วนหนึ่ง หรือธรรมะอย่างหนึ่ง กองหนึ่ง ที่สามารถทำลายกิเลสได้ทั้งหมด เรื่องขันธ์ในมหาสติปัฏฐานสูตร พระพุทธเจ้ากล่าวว่า อีกข้อหนึ่งภิกษุทั้งหลาย คือ ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลาย อันได้แก่อุปาทานขันธ์ 5 อย่างไรเล่า ภิกษุทั้งหลาย จึงชื่อว่าภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอันได้แก่อุปาทานขันธ์ 5 อย่างนี้คือภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็นว่ารูปอย่างนี้ รูปเป็นอย่างนี้ ความเกิดแห่งรูปเป็นอย่างนี้ ความดับแห่งรูปเป็นอย่างนี้

รูปนี่เราสามารถจะเห็นได้ด้วยตาเนื้อ เกิดขึ้นด้วยอำนาจของธาตุ 4 มีอาการ 32 มหาสติปัฏฐานต้องมองย้อนไปย้อนมาว่า คือรูปมันก็มีหนังกำพร้ามีเนื้อมีรูป มีตับไตพังผืดไส้ปอด ไม่ต้องพรรณนาอาการ 32 ครบถ้วนเป็นรูป ทีนี้รูปร่างนี้มันเกิดขึ้นได้ยังไงก็ต้องไปดูธาตุ 4 อาศัยธาตุ 4 มาประชุมกัน ตั้งขึ้นมาตั้งแต่เล็กแล้วก็โตมาทีละน้อย ๆ อาศัยอาการเปลี่ยนแปลงเจริญเติบโตขึ้น การเจริญขึ้น ก็หมายถึงการเสื่อมลงนั่นเอง เดินไปหาความพังของมันแล้วในที่สุด ก็เต็มไปด้วยโรคภัยไข้เจ็บ ร่างกายเป็นโรคะนิทัง เป็นรังของโรค คำว่าโรคะหรือโรค แปลว่าอาการเสียดแทง ทำให้ไม่สบายกายไม่สบายใจ แล้วในที่สุดมันก็เสื่อมลง ๆ แล้วก็สลายตัว คือตาย
ว่าด้วยเรื่องรูป ในอาการ 32 ที่ว่าด้วยปฏิกูลบรรพพิจารณาอาการ 32 มาแล้ว พิจารณาธาตุ 4 รูป คือกายคตานุสติกรรมฐาน คืออาการ 32 เป็น อนิจจังไม่เที่ยง ทุกขัง เต็มไปด้วยความทุกข์ อนัตตา มีความสลายตัวไปในที่สุด

เวทนาก็คืออารมณ์ อารมณ์ที่เป็นสุข อารมณ์ที่เป็นทุกข์ อารมณ์ที่ไม่สุขไม่ทุกข์ อาการเกิดของเวทนาเป็นยังไง ความหนาว ความร้อน ความหิว ความกระหาย มันเป็นเวทนาทั้งนั้น เป็นทุกขเวทนา การอยากได้ของที่ชอบใจเป็นสุขเวทนา รู้ว่าเวทนามันเกิดขึ้นแล้วก็สลายตัวไป ไม่มีอะไรคงที่ มันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาเหมือนกัน
สังขาร คือสภาพที่ปรุงแต่งจิต หมายความถึงอารมณ์ของจิต อารมณ์ที่เข้ามาแทรกจิต ท่านกล่าวว่า อปุญญาภิสังขาร อเนญชาภิสังขาร สังขารมี 3 ปุญญาภิสังขาร คือ อารมณ์ที่มีความสุข อปุญญาภิสังขาร ได้แก่อารมณ์ที่มีความทุกข์ อารมณ์ที่มีความสุขก็คือบุญ อารมณ์ที่มีความทุกข์ก็คือบาป ความชั่ว และอเนญชาภิสังขาร คืออารมณ์ที่วางเฉยเป็นอารมณ์กลางได้แก่อุเบกขารมณ์ เป็นอารมณ์ว่างจากกิเลส ว่างจากความสุขหรือความทุกข์ อันนี้เป็นอารมณ์ที่ปรารถนาพระนิพพาน ถ้าเป็นอารมณ์ฝ่ายกุศลก็มีความสุขใจ ถ้าเป็นอารมณ์ฝ่ายอกุศลก็มีความทุกข์ใจกลัดกลุ้มใจ ถ้าเป็นอารมณ์พระนิพพานก็มีแต่ความเยือกเย็น อารมณ์อย่างนี้มันเกิดขึ้นแล้วมันก็ดับไป มันไม่คงสภาพ เดี๋ยวเกิด เดี๋ยวดับ ไม่คงที่ เดี๋ยวมีอารมณ์อย่างนี้ เดี๋ยวมีอารมณ์อย่างนั้น ข้อนี้เป็นวิปัสสนาญาณ ให้พิจารณาว่ามันเป็นอนัตตา ไม่มีอะไรทรงตัว
สัญญา คือความจำ จำได้บ้าง จำไม่ได้บ้าง จำได้นิด ๆ หน่อย ๆ แล้วก็สลายไป ตั้งอยู่ไม่ได้นาน
วิญญาณ ที่รับรู้สภาพของอากาศ ดินฟ้าอากาศ ความร้อน ความหนาว ความหิว ความกระหาย ความเจ็บ ความปวด ความอ่อน ความแข็ง นี่เป็นอาการของวิญญาณ คือประสาท สัมผัสรู้ว่าอ่อน รู้ว่าแข็ง รู้ว่าเย็น รู้ว่าร้อน แล้วก็เลิกสัมผัส ไม่มีอะไรแน่นอน

การที่มาพิจารณาเรื่องขันธ์ 5 ก็เพื่อละ อุปาทานขันธ์ 5 อุปาทาน แปลว่าเข้าไปยึดถือ ขันธ์ 5 ว่าเป็นเรา ว่าเป็นของเรา เรามีขันธ์ 5 ขันธ์ 5 มีในเรา การที่เราจะเป็นใคร มียศฐาบรรดาศักดิ์ใหญ่ขนาดไหน ก็ไม่มีความมั่นคงแน่นอน เราต้องทุกข์เพราะขันธ์ 5 เป็นอย่างมาก ไม่ว่าในเรื่องของการปวดท้อง หิวข้าว มีเวทนาต่าง ๆ การปวดเมื่อย เราไปห้ามไม่ได้ และสิ่งต่าง ๆ ก็สลายไปในที่สุด ไปยึดถืออะไรไม่ได้ ไม่มีความจีรังยั่งยืน เราคือ จิต จิตเราชั่ว เราก็ต้องหาที่เกิดต่อไป นี้คือ วิปัสสนาญาณ และสมถะ ก็อย่าทิ้ง ถ้าทิ้งก็ตายเพราะเป็นลมหายใจเข้าออก เป็นการทรงสติสัมปชัญญะ
นิรทุกข์
 
จำนวนผู้ตอบ: 558
สมัครสมาชิก: Sat Mar 13, 2010 7:46 pm

กลับไปหน้า ธรรมเพื่อชีวิต

ผู้ที่กำลัง online

ผู้ที่กำลังอ่าน forum นี้: สมาชิก ไม่มีสมาชิก และ ผู้เยี่ยมชม 2 คน

cron