พระพุทธเจ้าเสด็จประทับรอยพระบาทหน้ากุฎิ คุณแม่จันดี

เพื่อสนทนาธรรม และแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เพื่อความเป็นกัลยาณมิตร กัลยาณธรรมที่ดีต่อกัน

พระพุทธเจ้าเสด็จประทับรอยพระบาทหน้ากุฎิ คุณแม่จันดี

Postโดย wiweksikkaram.hi5 » Sat Jul 03, 2010 11:15 pm

พระพุทธเจ้าเสด็จประทับรอยพระบาท
หน้ากุฎิ คุณแม่จันดี

ก่อนท่านจะเสด็จประทับรอยพระบาท มีเสียงดังขึ้น
“ดำเนินมาด้วยพระบาทเปล่า ประทับรอยเท้าไว้ในโลกา
บัญญัติขึ้นใหม่ ประทับรอยเท้า ไว้ในพื้นไม้ ที่ยืนอยู่”
ขณะองค์ท่านประทับรอยเท้า มีดอกบัวใหญ่ สีชมพูรองรับ บนศีรษะองค์ท่านสว่างไสว เป็นรูปใบโพธิ์ครอบไว้
ขณะองค์ท่านวางพระบาทลงไปพื้นไม้ยุบลึกลงไป ประมาณ ศอกกว่าในรอยพระบาทมีความสว่างไสวเกิดขึ้นทันที รอบ ๆ บริเวณก่อนท่านประทับรอย มีพระสงฆ์สาวก นั่งล้อมรอบเป็นระเบียบเรียบร้อยมากแสนมาก บนเศียรท่านทุก ๆ องค์ มีความสว่างเป็นรูปใบโพธิ์เหมือนพระพุทธเจ้าทุกองค์
มีเสียงบอกขึ้นมาอีก“ก้าวตามรอยของเรามา จะถึง
ทำให้ถึงเถิด เกิดแน่มรรคผล ไม่อับจนกับผู้พากเพียร”
ขณะที่พระหลวงตาฟังคุณแม่จันดีกราบเรียนเสร็จ
ท่านถาม “องค์ท่านเสด็จประทับที่ไหน” คุณแม่ลุกขึ้นชี้บอกท่านว่า “ประทับตรงนี้” ท่านถามต่อ “รู้ไหมเป็นพระพุทธเจ้าองค์ไหน” คุณแม่ตอบ “พระพุทธเจ้าองค์พระสมณะโคดมองค์ปัจจุบัน” ...ต้องขออภัย ด้วยวัย และเวลาผ่านมานานจำได้เท่านี้
เป็นบุญเหลือเกินที่ข้าพเจ้า บังเอิญได้ยินคุณแม่จันดี กราบเรียนพระหลวงตาช่วงประมาณบ่าย 3 โมงครึ่ง ที่หน้ากุฏิท่าน เดือนพฤศจิกายน ปีพ.ศ.2543






พระจิตที่บริสุทธิ์ ขัดธาตุขันธ์ให้เป็นพระธาตุ

ขอเล่าถึงสิ่งที่ทุกคนอาจจะอยากรู้ เหมือนผู้เล่าเคยสงสัยมานาน และอยากรู้ ว่าทำไมธาตุ ของพระผู้บริสุทธิ์ จึงเป็นพระธาตุ
วันนั้น พ.ศ.2543 คุณแม่จันดี
เมตตายื่นพระธาตุองค์เล็กมาวางลงบนฝ่ามือ
หลังจากท่านยกมือขึ้นพนมเหนือหัว ท่านบอก
“เอ้านั่ง จิตระลึกพุทโธอย่าให้ขาด สติจ่อลงที่จิต
เอาจิตย้อนรวมกับตาเนื้อ ดูเข้าไปในองค์พระธาตุ ขณะนั้น
สิ่งที่เห็นเป็นเหมือนจอภาพใหญ่จากทีวีอยู่ในองค์พระธาตุ
ในภาพเห็นพระองค์หนึ่งยืนอยู่ ตรงกลางอกของท่านสว่างไสว
แสงสว่างขาวใส นวลงามมาก
สักพักร่างท่านโปร่งมองเห็นข้างในไม่มีหนังเนื้อปิดบัง
“เห็นดวงสว่างที่อยู่กลางอก วิ่งขึ้นลง รอบกระดูกสันหลัง
วิ่งขึ้น วิ่งลง ส่องแสงสว่างไสวรอบกระดูกสันหลังวิ่งขึ้น-ลงอยู่นาน
ตอนนี้กระดูกสันหลัง ค่อย ๆ สว่างขึ้นทีละน้อย ๆ มีเสียงบอกดังขึ้นว่า “พระจิตที่บริสุทธิ์ ทำการขัดธาตุขันธ์”
ต่อมากระดูกสันหลังเหมือนไม่ใช่กระดูก
กลายเป็นแก้วใส ๆ ในรูปโครงกระดูกอันเดิม
ต่อมาเห็นดวงสว่าง วิ่งขึ้นไปบนเส้นผม ความสว่างวิ่งตามเส้นผมทุกเส้นพร้อม ๆ กัน ดวงสว่างขัดขึ้นลง สว่างจ้าโดยรอบ
ขัดไปมา แสงสว่างวิ่งเร็ว ขึ้นลง ๆ เส้นผมเปลี่ยน เปล่งประกาย
มีแสงสีต่าง ๆ สารพัดสีเป็นแสงสีเจิดจ้ามาก ตอนนี้เส้นผมทุกเส้น กลายเป็นพระธาตุ องค์พระธาตุเกาะเรียงติดกันตามเส้นเกศา
มีแสงสีสารพัด สีสดใส เหมือนสายรุ้ง พาดผ่าน ประสานกัน




ต่อมาเห็นพระจิตที่บริสุทธิ์ เคลื่อนลงมาที่กระดูกขาทั้ง 2 ข้าง
ความสว่างวิ่งขัดขึ้นลง ตามกระดูกขา ขัดจนกระดูกขาทั้งสองข้าง
เลื่อมระยับ กลายเป็นพระธาตุ โครงร่างของพระที่ยืนอยู่
ตอนนี้สว่างจ้าขึ้นทั่วทั้งร่าง
ความสว่างวิ่งขึ้นลงประสานกันบน-ล่าง-ขวา-ซ้าย-สถานกลาง
ในที่สุดโครงสร้างของธาตุขันธ์ทั้งหมด ขณะนี้ดูโปร่งใส
สว่างไสวดั่งไม่ใช่ธาตุขันธ์อีกต่อไป
ตอนนี้ความสว่างจากโครงร่างของท่านมีทุกสีสัน
วิ่งพุ่งขึ้นลง สลับสับเปลี่ยนสีต่าง ๆ อย่างน่าอัศจรรย์
มีเสียงดังขึ้น “ธาตุไม่ใช่ธาตุ ประกาศความศักดิ์สิทธิ์
วิเศษ ของธรรม บริสุทธิ์ หลุดจากสมมุติ”
ภาพหายไป เหมือนเราปิดทีวีทิ้งไว้ แต่ภาพที่เห็น
ประทับไว้ในใจ ที่พอระลึกได้
มาเล่าเทิดทูนบูชาธรรมของท่านผู้บริสุทธิ์

ลูกขอกราบแทบเท้าถึงคุณของพระคุณแม่จันดีที่เมตตา ให้ปุถุชน คนหนา มิดดำได้เห็นความอัศจรรย์ ของพระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า
กราบขอขมาท่านผู้มีธรรมเหนือโลกทุกพระองค์
กราบขออภัยทุกท่าน อยู่ที่ต่ำแต่นำเรื่องท่านผู้อยู่สูงสุด เหนือโลกมาเล่า
~~~

ปรัชญาธรรม

คุณแม่จันดี...เทียบโลก เทียบธรรม

ร่างของแม่ สลาย เมื่อถึงกาล
คงได้รู้ ก็เมื่อสาย หายเห็นผิด
ถึงจะคิด อยากให้ฟื้น ฝืนไม่ได้
โลกไมเที่ยง ความพลัดพราก จากเจ้าไป
ฝากธรรมไว้ ในใจ ให้พิจารณา
อย่าได้ท้อ ไม่มีแม่ ชะแง้หา
สุดอ้างว้าง ไม่ห่างทาง แม่นำพา
คอยลูกมา ยื่นมือไว้ ให้เจ้าดึง
~~~

อาภรณ์ของโลก วัตถุของโลก
มีอยู่ประดับโลก ทั่วไป
ทิ้ง ความโลภ ความโกรธ ความหลง
สละแล้วซึ่งตัวตน พ้นแล้วซึ่งโลก
บริสุทธิ์ สะอาด ปราศจากทุกข์...นิพพาน
~~~

สะพานโลก สะพานธรรม ขาดลง ตรงกลางจิต
จึงประดิษฐ์พระขึ้นทั้งองค์ วิสุทธิจิต วิสุทธิธรรม
เลิศล้ำ เหนือโลก จิตเป็นธรรมชาติ
~~~




สิ้นทุกข์ สิ้นโลก สิ้นธรรม
เหนือบัลลังก์โลก เหนือบัลลังก์ธรรม
ที่สุด ที่สุด ของที่สุด จึงเรียกว่าเหนือ
จิตพุทธะ
~~~

ธรรมเอกหนึ่ง ไม่มีสอง
บรมสุข แท้ คือนิพพาน
พระพุทธเจ้า พระอรหันต์สาวกองค์สุดท้าย
เป็นธรรมดวงเดียวกัน เสมอกัน
~~~

แดนแห่งธรรม ช่างงามล้ำ สิ้นกิเลส
กายทะลุ หัวใจพัง จึงถึงฝั่งพระนิพพาน






วางความอาลัย ใด ๆ ในโลก ก้าวผ่านไป อย่างไม่ใยดี
สะอาด หมดจด หลุดพ้น จากสิ่งเกาะเกี่ยวใด ๆ ทั้งปวง
วางโลก ~ วางธรรม ชำระกิเลส ปราศจากทุกข์
เสวยสุข ครองธรรม บรมสุข วิมุติ
~~~

น้ำตาแห่งทุกข์ ~ น้ำตาแห่งสุข
สละโลก คือ สละทุกข์
สละสุข คือ สละโลก
สละโลก จึงได้ธรรม
สละธรรม จึง เหนือโลก
ธรรม เหนือ โลก
เหนือ โลกวัฏฏะ สร้างพระที่ใจ
ผู้ใดหมั่นพิจารณาจิต
ผู้นั้นจะพบธรรมแท้ สุขแท้
บริสุทธิ์ สะอาด ปราศจากสิ่งเจือปน
พ้นได้ที่ใจ มีพระนิพพานเป็นที่ไป
คือที่สุด ของผู้หยุดวัฏฏะ
~~~


จิตยิ่งใหญ่
ธรรมชาติของจิตมีทั้งสงบและทุกข์ แต่สิ่งที่
ทำลายจิต คือ ทุกข์ เมื่อจิตทุกข์แล้ว
ความเจ็บป่วยของจิตย่อมเกิดตามมา
ความเศร้า ความกังวล และความละอาย
ความคิดอยากทำลายตัวเอง คือ สัญญาณ
บอกว่าจิตกำลังไม่สบาย
หยุดคิด คือ หยุดทุกข์
เพราะทุกข์คือโรคร้ายของจิต
หากไม่หยุดคิดวุ่นวาย ความทุกข์ก็ย่อมเกิด
ขึ้นอยู่ร่ำไป เมื่อประสบปัญหาเราต้องหายา
รักษาจิต ซึ่งมีอยู่ชนิดเดียว ไม่เคยล้าสมัย
ได้ผลยอดเยี่ยม คือ พุทโธ เมื่อคิดพุทโธแทน
ความทุกข์จิตที่วุ่นวายก็เริ่มอยู่นิ่ง และสัมผัส
กับความสงบได้ ความคิดต่างๆ ที่รุมเร้า
ก็ผ่อนคลายลงได้
รักษาทุกข์ด้วยยา คือ พุทโธ
พุทโธ ไม่ใช่คำกำจัดความของศาสนาใด
ศาสนาหนึ่งคือ พุทโธ เป็นยารักษาจิต
ที่ยอดเยี่ยมที่สุดนี้คือยาที่ทุกคนสามารถ
พิสูจน์และทดลองได้ด้วยตนเอง ผู้ที่ยอม
กินยานี้ย่อมประสบกับความสงบในจิต
หยุดความทุกข์จากความคิดทั้งปวงได้
และเห็นผลอย่างแน่นอน อยากให้ทุกคน
พิสูจน์ทดลองเพราะโรคทุกข์มีอยู่ในใจ ของทุกคน
~~~





บนโลกใบนี้ทุกอย่างมีคู่เสมอ
ถ้าเป็นถนนก็มี 2 เส้นคู่ขนาน เส้นที่ 1 เป็นเส้นทางที่เต็มไปด้วยผู้คนเดินอย่างรีบเร่งเต็มไปหมด ถนนเส้นนี้ถูกเรียกขานว่า ถนนแห่งชัยชนะ ถนนแห่งความสำเร็จที่ผู้คนที่เดินอยู่มีทั้งสมหวัง และผิดหวัง มีทั้งทุกข์ และสุขเมื่อได้สิ่งที่ตัวเองต้องการและผู้ผิดหวัง – ทุกข์เมื่อไม่ได้อย่างที่ตัวเองหวัง
หรือผู้อื่นอยากให้เป็น
ส่วนเส้นที่ 2 เรียกว่า ถนนแห่งความผิดหวัง เป็นถนนที่ดูเงียบเหงา ปราศจากผู้คน ถนนโล่งแจ้ง ไม่มีการแข่งขัน ไม่มีรางวัล
ไม่มีทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ทุกคนใฝ่ฝันอยากได้ ถนนเส้นนี้จึงตรงกันข้ามในทุก ๆ อย่าง ทุก ๆ เรื่อง กับถนนอีกเส้นผู้ผิดหวังหลายคนจำต้องเลือก ทางเส้นนี้ แต่ก็มีผู้มีปัญญาหลาย ๆ ท่าน ก็เลือกที่จะเดินทางเส้นนี้เช่นเดียวกัน เป็นทางเดินที่ว่างเปล่า ไม่มีแท่นแห่งชัยชนะไว้เชิดชูเกียรติ ไม่มีรางวัล ไม่มีคำสรรเสริญ ไม่มีลาภ – ยศตำแหน่งเป็นถนนที่ดูปราศจากทุกอย่าง เป็นถนนที่ผู้คนไม่อยากเดิน แต่ผู้เดินอยู่บนถนนเส้นนี้ ยิ่งเดินไปได้ไกล แค่ไหนทุกคนกลับดูเงียบสงบ ปราศจากการดิ้นรน ความเร่าร้อน ไม่มีให้เห็นในกิริยาอาการ แต่หลายคนต้องพลัดตกออกไปสู่เส้นทางเดิมเหตุเพราะทางเส้นนี้ไม่มีสมบัติที่ตัวเองต้องการ ไม่มีลาภยศ ม่มีคำสรรเสริญ ไม่มีกระดาษที่ทุก ๆ ชาติ กำหนดให้แลกเปลี่ยนสินค้าได้ไม่ตกอยู่ภายใต้กฎหรือข้อบังคับการกำหนดใด ๆ ของใคร เดินเข้าหา ความมืดที่ปกคลุมปิดบัง ค้นหา เปิดออก ในความมืดนั้น มีแสงสว่างจริงหรือ ? เพราะผู้ที่ท่านเดินก่อน
ท่านยืนยันว่า “ท่ามกลางความมืด มีความสว่างอยู่จริง ท่านพบแล้ว และหาวิธีจัดการกับความมืด ที่ปกปิดความสว่างได้สำเร็จ ความมืดไม่กลับมา
ทำให้ท่านได้รับความเดือดร้อนอีกต่อไป…”
ทางคู่ขนาน 2 เส้นนี้ สุดแต่ผู้ต้องการจะตั้งชื่อ แต่ความเป็นจริง มันก็คือ ทางดำมืด และทางสว่าง ที่มีอยู่คู่กันเสมอ ทุก ๆ อย่างมีคู่ มีทุกข์ – สุข, มั่งมี – ยากจน, ผู้แพ้ – ผู้ชนะ, ผู้ดีใจ – ผู้เสียใจ เช่นเดียวกับมืด และสว่าง มีอยู่คู่กันเสมอมา และตลอดไป…สุดแต่ใครจะค้นพบ และยอมเดิน ทางสว่าง ผู้เดินทางเส้นนี้ทุกท่านแลกมาด้วยชีวิต ท่านผู้พบเจอ พยายามชี้ทางบอกผู้คน และท่านเหล่านั้น ก็หายไปพร้อมอายุขัย และทิ้งแผนที่บอกทางเดินไปสู่ชัยชนะแห่งความสว่าง…ที่นั่นมืด ที่นี่สว่าง มันอยู่ในใจของทุกคน.
~~~



แท่นแห่งชัยชนะ
เท้าหลายคนได้เหยียบย่าง และยืนบนแท่นนี้มาแล้ว ท่ามกลางคราบน้ำตา
ของผู้แพ้ เหยียบผ่านทุกข์บนหัวใจหลาย ๆ ดวงกว่าจะมีวันนี้
วันแห่งชัยชนะ สมหวัง และที่เดียวกันก็มีผู้แพ้ ที่ไม่สมหวัง พร้อมคราบน้ำตา
อยู่ในที่เดียวกัน แต่ฉันผู้ได้รับชัยชนะในเวลานี้ ฉันจะเป็นผู้แพ้ในกาลต่อมาหรือไม่ เสียงกรีดร้องเพราะสมหวัง และเสียงกรีดร้องเพราะผิดหวัง จึงดังระงมในที่เดียวกัน ซีกหนึ่งสมหวัง อีกซีกหนึ่งผิดหวัง
สูญเสีย คราบน้ำตา และหัวใจที่ยับเยิน
แท่นแห่งชัยชนะนี้ คือแท่นแห่งทุกข์หรือเปล่า ทำไมมีผู้คนแก่งแย่ง แข่งขัน พยายามขึ้นไปยืน เหมือนเป็นความฝันอันสูงสุด จะมีใครรู้ไหมว่าที่นี่ไม่ใช่ที่สุดของสุข แต่เป็นที่สุดของทุกข์ ที่เกิดขึ้นเต็มไปหมดในที่เดียวกัน ถ้าเราเปลี่ยนจากผู้ชนะ เป็นผู้แพ้ เราจะรู้ไหมว่า แพ้ หรือ ชนะล้วนหน้าสงสาร แข่งขัน แย่งชิง ที่จะขึ้นไปยืน บนแท่นที่ถูกตั้งชื่อว่า “สุดยอด เก่งที่สุด”
มันคือ แท่นแห่งความสุข – สมหวัง แท่นของชัยชนะหรือ
จะมีคนมองไปรอบ ๆ บริเวณที่ประกาศชัยชนะ จะเห็นความจริงไหมว่า แท่นเสกสรรสุขจอมปลอมให้ผู้คนหลงเดิน – วิ่ง
แท่นนี้คือ “แท่นแห่งทุกข์” สู่มรณะภัย ทำร้ายจิตใจตัวเอง และอื่น
~~~

ครั้งหนึ่งในชีวิต...





ความหวัง…ในวันที่เหนื่อยล้า
จำความได้ชีวิตเติบใหญ่มาท่ามกลางความยากเข็ญ
สู้บุกบั่น ขยันเรียน แต่ความลำบากบังคับ ต้องหยุดเรียน
ตามความจำเป็นทางครอบครัว ในวัยเด็กพอทำงานแลกเงินได้
ยอมสู้ทนกับงานทุกอย่างที่มีเข้ามา
ชีวิตในวัยหนุ่มมีโอกาสได้บวช แล้วแต่งงานมีครอบครัว มีลูกหลายคนลูกทุกคนต่างดิ้นรนไปตามวิถีชีวิตของตัวเอง ยากลำบากชะตาชีวิตของใคร คงเป็นของคนนั้น ไม่มีใครเปลี่ยน หรือช่วยกันได้…วิถีกรรม เป็นกงจักรใหญ่คอยตามบีบบังคับ บีบคั้น ชีวิตวัยเด็ก วัยหนุ่ม วัยชรา ล้วนผ่านมาด้วยความทุกข์ ตรากตรำ เป้าหมาย คือผู้โดยสารที่ยืนข้างถนน วัยชราช่างเป็นอุปสรรค แม้รถคันนี้จะเป็นรถคู่กายมาแต่วัยหนุ่ม รถกับคนขับคงมีสภาพไม่ต่างกัน แดดจ้าในยามบ่าย ดูโหดร้ายสำหรับชายวัยชราผู้เหนื่อยล้า
ความทุกข์...ความแก่เป็นเหตุ ให้ต้องหันกลับมาพึ่งวัดอีก
เสียดายเวลาที่ผ่านมาทั้งร่างกายและจิตใจก็พร้อมสำหรับปฏิบัติธรรม
แต่ด้วยวิถีกรรม ทำให้ต้องไปมีครอบครัว
ลมหายใจในบั้นปลายของชีวิต...ขอตายกับธรรม





ท่านผู้ให้...ชีวิตใหม่
ชีวิตฉันเกิดมามีแต่เรียนหนังสือ เรียนจบทำงาน
ตั้งความหวังไว้ในใจว่า จะต้องเป็นคนเก่งที่สุด ไม่เคยรู้เลยว่าคนที่เหนือกว่าเรายังมีอีกมากมาย ความผิดหวังมาเยือน...ต้องอาศัย ความมืดเป็นเกราะกำบัง ต้องหลบซ่อนอยู่ แอบแฝงเงามืดเพื่ออำพรางปกปิด ความอ่อนแอ ท้อแท้ ผิดหวัง ฉันได้พบวิธีขจัดความมืดออกจากใจ คือธรรมของพระพุทธเจ้า ให้มีสติ อยู่กับปัจจุบัน ระลึกรู้อยู่กับ “พุทโธ” ที่ทุก ๆ คนสามารถทดลองได้...ก่อนจะสาย... เสียแล้ว เชื่อว่าหลาย ๆ คนอาจจบชีวิตตัวเองเพราะความผิดหวังทั้ง ๆ ที่อยากพบความสว่างบ้างในชีวิต บางคนคิดว่าความมืดดีที่สุดแล้ว เพราะไม่เคยพบสิ่งเหล่านั้น จึงเป็นการยากที่ผู้คนจะเห็นตาม นอกจาก คนผู้นั้นต้องเสียสละ ยอมทิ้งละทุกอย่าง และพิสูจน์ด้วยตนเอง ไม่ใกล้ ไม่ไกล ค้นลงไปที่ “ใจ” ของเราเองทุกคนมี “ใจ” เป็นอาวุธ คือความจดจ่อต่อเนื่องจะพบที่เกิดของเหตุ และที่ดับเหตุ การเดินทางสิ้นสุดลง หยุดการค้นหา เป็นอิสระ หลุดจากอำนาจมืดที่คอยบีบคั้น บังคับ มองกลับไปเห็น เพื่อน ญาติ พี่น้อง ที่เคยเดินบนทางท่องเที่ยว ที่ยาวไกล ไม่มีที่หมาย ไม่มีจุดจบ มุ่งหน้าเดินไปเรื่อย ๆ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งที่ตัวเองพยายามหาอยู่นั้นจะได้หรือไม่
ท่านผู้พบทางสว่างแล้ว ท่านบอก “ทุกข์ เพราะไม่ได้ตามความอยาก, สุข เพราะคิดว่า สำเร็จ -> สมหวัง แต่ทั้ง 2 อย่างไม่ได้ตั้งอยู่นาน และตลอดไป ความผิดหวังจึงมาเยือน ทุกอย่างจำต้องเปลี่ยนไป – มา, สลับเปลี่ยน หมุนเวียน เป็นความจริงที่ลบออกไม่ได้…
ไม่อยากได้ ก็เป็น ทุกข์
อยากได้ – แต่ไม่ได้ ก็ทุกข์”
“เมล็ดพันธุ์ทุกชนิดงอกเงยได้ดีที่ไหน คือที่ ใจ เรานั้นเอง”
ธรรมที่คุณแม่จันดี ช่วยชีวิต ปี 2543




ชีวิตที่เปลือยเปล่า
ฉันเห็นจุดจบของเพื่อนคนหนึ่งต่อหน้าต่อตา เพื่อนจากโดยไม่ได้บอกลา ไปอย่างกะทันหัน เงียบวังเวง…เยือกเย็น นี่คือบรรยากาศโดยรอบในขณะนั้น เหมือนฝัน ร่างของเพื่อนนอนเงียบทอดยาวเปลือยเปล่า จากทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เคยแบก และรับภาระอยู่ ทิ้งทุกอย่าง จากไปไร้ร่องรอย ทิ้งไว้แต่ความทรงจำ ในความรู้สึกของผู้ที่รู้จัก ใกล้ชิด ญาติมิตร เพื่อนพ้อง
ชีวิตของเพื่อนเป็นเครื่องหมายของความทุกข์ อยากจะบอกเพื่อนว่า เพื่อนจากไป แต่ให้อะไรกับผู้ยังอยู่อีกมากมาย ให้สัจจะธรรมความจริง ยิ่งกว่าการให้ใด ๆ … ชีวิตจบแต่การเดินทางไม่สิ้นสุด ช่างเป็นความโหดร้าย ที่น่าสะพรึงกลัว ฉันเข้าใจวิถีทางของเพื่อน และตัวฉันเอง ฉันรู้สึกหนาว…เยือกเย็น…หวาดกลัว วันข้างหน้าที่ตัวฉันต้องเผชิญบ้าง ช่างเป็นชีวิตที่เปลือยเปล่า ต้องจากไปอย่างไร้คุณค่า รู้ทั้งรู้ ทำไม ๆ ๆ ๆ ฉันจึงหาทางออกไม่ได้ ฉันไม่อยากมีชีวิตที่ต้องจากโลกนี้ไปอย่างเปลือยเปล่า และเปล่าเปลือย…
นี่คือ...เหตุการณ์ที่ช่วยผลักดัน ให้ฉันกลัวความไม่เที่ยง กลัวความจริงที่จะเกิดกับตัวเอง ฉันจะพึ่งใคร ใครจะช่วยฉันได้ ถ้าฉันไม่พึ่งธรรม ฉันแสวงหาครูบาอาจารย์ที่จะช่วยฉันได้ก่อนตาย
เกือบจะสาย...กว่าจะได้เจอคุณแม่จันดี







ตะลึงพบมิติใหม่
ฉันมีโอกาสได้เข้าไปวัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี เพื่อทำบุญจะได้หายจากทุกข์ ตามความเข้าใจ หลังจากถวายอาหารบนศาลา ในสมัยนั้น เจ้าอาวาสพระหลวงตามหาบัวซึ่งเป็นหัวหน้าวัดรับประเคนอาหาร จากผู้ถวายเอง เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2525 ผู้คนมีน้อยเทียบกับปัจจุบัน แต่ท่านก็เมตตาให้อุบายวิธีทางออกจากทุกข์ ท่านบอกให้พักจิต ให้คิดพุทโธแทน ก่อนนอนก็ไหว้พระสวดมนต์ ให้หลับไปพร้อมพุทโธ ตื่นมารู้สึกตัวก็รีบพุทโธ จิตได้พักเหนื่อย จะได้มีกำลัง ไปทดลองทำในคืนนั้น พบว่าตัวเองเข้าไปสู่อีกมิติหนึ่ง เป็นความเวิ้งว้าง เยือกเย็น เบาเหมือนไม่มีกาย เห็นแต่ลมหายใจ คดเคี้ยว เข้า – ออก ไม่ปรากฏว่ามีตัวตนเป็นอยู่นาน รู้สึกถึงความแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นจากอานุภาพ ของคำว่า พุทโธ ๆ ๆ ๆ จึงหาโอกาสพักจิตด้วยพุทโธก่อนนอนทุกวัน
จนวันหนึ่งจิตเห็นตัวเองย่อส่วนเป็นตัวเล็ก ๆ กำลังตกลงเหวลึก รู้สึกกลัวมาก ไม่กล้าพุทโธอีก มีโอกาสมาทำบุญที่วัดป่าบ้านตาดอีก
จึงกราบเรียนถามท่านพระหลวงตามหาบัว ท่านตอบว่า
“อย่ากลัวให้ทำต่อ มันเป็นเพียงอาการของจิต ตัวจริง ๆ เราไม่ได้เป็นอย่างนั้น”
ในค่ำวันนั้นก่อนนอนได้ปฏิบัติตามท่านบอก ขณะภาวนาเหตุการณ์ก็เกิดขึ้นเหมือนครั้งที่แล้ว…จึงพยายามระลึกตามคำสอนของท่านว่า “ตัวจริง ๆ เราไม่ได้เป็นอย่างนั้น” ไม่นาน ทุกอย่างจึงสงบลง…
“จิตสงบพบความสุขอัศจรรย์ จนเวลาผ่านไปถึงตี 5 จิตจึงถอน”
ชีวิตของฉันกับวัดป่าบ้านตาด ดูจะแยกไม่ออก จากนั้น…ฉันได้เจอ ครูบาอาจารย์ในวัดป่าบ้านตาด ทราบภายหลังว่าท่านคือน้องสาวของ
พระหลวงตามหาบัว
ชื่อคุณแม่จันดี โลหิตดี



โดดเดี่ยว
ฉันเกิดมามีแต่ห่วงใยคนนั้น คนนี้ กลัวการพลัดพราก ไม่อยากให้คนที่เรารักต้องตาย เพราะเป็นเรื่องเศร้าที่สุด ยากที่จะลืม แม่ต้องมาตายเพียงท่านอายุ 58 ปี (ล้มก้นกระแทกในห้องน้ำ) แม่เป็นคนอ้วน
แม้เวลาจะผ่านไปเป็น 10 ปี ก็ไม่เคยลืมแม่เอาผ้าขนหนูที่แม่เคยใช้มากอดนอนทุกคืน ไม่นานพ่อก็มาจากไปอีกคน ฉันรู้ถึงความโดดเดี่ยวไร้ที่พึ่ง กลัวความตาย จิตใจอ่อนแอ ไม่กล้าแม้กระทั่งจะขับรถยนต์เอง
พยายามทำงาน ทำงาน เพื่อจะลืมท่านทั้งสอง
ก็พยายามใช้ธรรมะเข้าช่วย หลังเลิกงานไปทำสมาธิ ทำวัตรเย็นที่วัดป่าบ้านจิก (พระหลวงปู่ถิร จังหวัดอุดรธานี) ท่านก็จะเทศน์ทุก ๆ วันพร้อมทำสมาธิไปด้วย ทำให้จิตใจเริ่มเข้มแข็งขึ้นกล้าที่จะขับรถยนต์เอง สิ่งแรกที่คิดถึงตลอดเวลาคือการขับรถยนต์ไปวัดป่าบ้านตาดด้วยตัวเอง คิดถึงพ่อตอนเด็ก ๆ พาไปกราบพระหลวงตามหาบัวที่บนกุฏิของท่าน และท่านเมตตามอบหนังสือธรรมะหลาย ๆ เล่ม พ่อจะเห็นคุณค่าของหนังสือธรรมะนี้มาก พ่อว่า “มีเงินจะซื้อทองตอนไหนก็ได้ แต่หนังสือธรรมะนี้ใช่ว่าจะมีตลอดเวลาเหมือนทองคำ”
วันหนึ่งหลานเจออุบัติเหตุ คางแตก เลือดไหล ตกใจกลัวมาก กลัวการพลัดพราก ใจเกาะติดแต่การพลัดพราก และความตาย รู้สึกเป็นทุกข์ โดดเดี่ยวไร้ที่พึ่งพยายามคิดถึงคำสอนของพ่อพ่อที่เคยบอกลูก ๆ เสมอว่าบุญเก่าเราน้อยต้องทำบุญใหม่เพิ่ม พยายามไปใส่บาตรถวายจังหันที่วัดป่าบ้านตาดทุกวันเสาร์ - อาทิตย์ ฟังเทศน์พระหลวงตาเสร็จก็กลับ
ต่อมาจึงขออนุญาตพระในวัดมาจำศีลภาวนา ได้พบกับหญิงชราท่านหนึ่งเห็นท่านครั้งแรก รู้สึกอบอุ่น เหมือนได้อยู่ใกล้พ่อ - แม่และครูบาอาจารย์
ที่เป็นผู้หญิง สามสิ่งนี้ค้นหามานานมาวัดป่าบ้านตาดแต่เด็กไม่เคยรู้
เลยว่ามีท่านจึงกราบขอเมตตาให้ท่านสั่งสอน
รู้สึกว่าชีวิตนี้ไม่โดดเดี่ยว ยึดท่านเป็นที่พึ่งทางใจ ตลอดมา…ข้อธรรมที่ท่านเมตตากับทุก ๆ ดวงจิตที่พอจำได้
“สุขใดไหนจะเท่าพระนิพพาน ธรรมเป็นเครื่องชะล้างทุกข์
พระธรรมไม่เคยลวงโลก ทุกข์โศกพ้นได้ที่จิต
ผู้ใดหมั่นพิจารณาจิต ผู้นั้นจะพบ ธรรมแท้ สุขแท้”

ทำไมต้องเป็นบ้า?...หลีกทางบ้า
ฉันมีสมบัติที่ทุกคนไม่ปรารถนา ไม่มีใครคิดแย่งหรือชกชิง
แม้แต่ตัวเอง ก็แทบบ้า เพราะหาทางทิ้งสมบัติไม่ได้ ฉันอยากออกวิ่ง อยากฉีกเสื้อผ้าออกให้หมด อยากกรีดร้อง เพราะสมบัติที่ฉันรับไว้ แบกอยู่ มันหนักเกินกำลัง ต้องต่อสู้กับสิ่งที่เกิดขึ้นในใจ ฉันกอดเสาไว้แน่น ร้องไห้จนตัวสั่น ต่อสู้กับความรู้สึก กับความต้องการในใจ ใช้เวลาหลายชั่วโมง
ในแต่ละครั้งที่มันสั่งการให้ฉันทำตาม
ได้แต่เตือนตัวเอง ทั้งร้องไห้…อย่าไป…อย่าออกวิ่ง…อย่าฉีกเสื้อผ้า ถึงจะรำคาญร้อนเผาลน…เดี๋ยวคนเขาจะว่าเราเป็นคนบ้า อย่าทำ ๆ ฉันกอดต้นเสาแน่น ปากระล่ำ ระลักบอกเตือนตัวเอง ฉันเหนื่อย แทบขาดใจ ทุก ๆ ครั้ง ที่ฉันเจอ และต่อสู้กับศัตรูในตัวเอง มันน่ากลัว มันมีพลังมหาศาล เป็นอสรพิษร้ายที่ชกกัด ฝังเขี้ยวพร้อมปล่อยพิษ ทำร้ายฉันทุกเมื่อที่มันต้องการ อสรพิษร้าย
อยู่ในใจฉัน มันคือความทุกข์ที่ฉันไม่มีอำนาจหรืออาวุธชนิดใด ๆ จะจัดการมันได้ ทุก ๆ คนอยู่ใต้อำนาจของมันแต่มีสิ่งหนึ่งที่ฉันประหลาดใจ เมื่ออสรพิษกำลังทำร้ายฉันทุกรูปแบบ สุดแต่กำลังของมัน ไม่เคยมีคำว่าปรานี บางครั้งเห็นใจของตัวเองหยุดดิ้นตามแรงเหวียงมัน สภาพเหมือนคัทเอาท์ไฟถูกสับลงทุกอย่างหยุดเหมือนชะงัก เครื่องดับไม่ทำงาน แต่มันเป็นการดับที่มีพลัง เหนือพละกำลังของศัตรู ฉันจึงอาศัยจุดดับนี้ประคองตัวเองมาจนปัจจุบัน ผ่านวิกฤตที่จะถูกทุก ๆ คนตราหน้าว่า คนบ้า…อีผีบ้า เพราะฉันพบจุดดับ ในจุดเกิด เกิดอยู่ที่ไหนต้องดับจุดนั้น เหตุที่ใจฉันเอง มืดในใจฉันเอง
ทุกข์ในใจฉันเอง หยุดในใจฉันเอง.ไม่ใช่ฉันเก่ง แต่ขณะนั้น เหมือนทุกข์เกิดถึงที่สุดแล้ว ทุกข์นั้นก็ดับลง ให้เห็นในขณะนั้น ฉันยืนตะลึง ! กับสภาวะที่เกิดขึ้น ไม่มีกาย ไม่มีลมหายใจ มีแต่รู้ เป็นความรู้ที่อยู่ ท่ามกลางความว่าง...
ขอกราบเท้าพระหลวงตามหาบัว, คุณแม่จันดี ที่ท่านทั้งสอง
ได้วางธรรมไว้ในจุดหนึ่งของหัวใจ



เสียง...ที่ช่วยชีวิต…ก่อนฆ่าตัวตาย
บนถนนเส้นนี้ ไม่ว่าสัตว์ หรือมนุษย์จำต้องเดิน ๆ ๆ ไป ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ชอบ – ไม่ชอบ, อยาก – ไม่อยาก ทุกข์ทรมานที่สุด ฉันขอเรียก ความทุกข์ทนนี้ว่า ความมืด ขอให้คำนิยามจำกัดความ เมื่อฉันเจอทางออก เรียกว่า ความสว่างเส้นขีดของเท้าที่ก้าวเดิน คือ จุดจบของทุกชีวิต มฤตยู คือความตาย จึงเป็นจุดหมายของทุกคน – สัตว์ ไม่มีใครโหยหาต้องการสิ่งนี้ แต่หาหลีกพ้นไม่ ในช่วงหนึ่งของชีวิตฉันกลับอาจหาญที่จะจบชีวิตของตัวเองด้วยวิธีการต่าง ๆ เหตุเพราะทุกข์ในใจ หลายคนฆ่าตัวตาย เพราะกายเป็นเหตุจากความเจ็บป่วย แต่เมื่อทุกข์เกิดกับตัวเอง ฉันจึงได้รู้ว่าใจต่างหากที่เป็นผู้บงการ สั่งให้ฉันฆ่าตัวตาย เมื่อตัวการใหญ่ที่มีอำนาจสูงสุดบังคับฉัน ตอนนั้นฉันเหมือนทาสต้องทำตามทันที เพราะทุกข์คิดหาทางออกไม่มี ทุกข์จนอยากหนีทุกข์ ทุกข์ข้างหน้าค่อยว่ากัน ขอดับทุกข์ต่อหน้านี้เท่านั้น ก่อนจะถึงเวลาที่ฉันคิด และวางแผนไว้ จะมีไหมบุคคลที่สามารถช่วยดับทุกข์ให้ผู้คนได้ ฉันจึงตามหาบุคคลผู้นั้น ทั้ง ๆ ที่ใจฉันตอนนั้น ไม่เชื่อว่าจะมีใครดับทุกข์ในใจ และแก้ปัญหาให้ฉันได้…
ฉันได้พบบุคคลที่จะช่วยดับทุกข์ในเช้าวันต่อมา ฉันพบและนั่งอยู่ต่อหน้าท่านแล้ว ท่านคือพระหลวงตามหาบัว ความทุกข์ยังเผาไหม้ใจฉันดั่งเพลิง ยิ่งกว่าไฟเพลิงดวงอาทิตย์ ฉันกระสับกระส่ายทุกข์ทรมาน จนอยากหนีไปให้พ้น ๆ ทุกข์ที่ทำร้ายฉันอยู่ในขณะนี้ ทันใดนั้น ! เสียงบุคคลที่ฉันหวังจะไปให้ช่วยก็ดังขึ้น “อย่าคิดฆ่าตัวตาย เพราะความตายไม่ใช่การแก้ปัญหา ไม่ใช่ทางช่วยให้ทุกข์หายไป ถ้าเรามีชีวิตอยู่เรายังมีโอกาส แต่ถ้าเราตายเราจะหมดโอกาส ทุก ๆ อย่าง และเจอทุกข์ –มหันต์ทุกข์ ยิ่งกว่าที่เจออยู่นี้หลายเท่า ๆ ๆ นัก ให้อดทน ทุกปัญหาย่อมหาทางออกแก้ไขได้ ถ้าเรายังไม่ตาย…” คำพูดเพียงไม่กี่ประโยคของท่านน้ำตาฉันร่วงพรู ฉันไม่ได้บอกท่าน ไม่ได้พูดบอกอะไรท่านสักคำ แต่ท่านสามารถรู้ถึงแผนที่ฉันวางไว้ในใจฉันได้อย่างไร ท่านจึงเป็นเสมือนจุดสว่างในใจที่มืด
ด้วยความทุกข์ที่เผาลน จนสุดจะทานทน…

หม้อใหม่ ! มหัศจรรย์
ในช่วงปี พ.ศ.2523 - 2525 กลุ่มเราได้มีโอกาสไปวัดป่าบ้านตาดพร้อมคุณป้ามาย พี่สาวคุณพ่อทนันชัย (ศรีไทยใหม่) ในช่วงเข้าพรรษาทุกเช้าวันเสาร์ - อาทิตย์ ซึ่งคุณป้าจะพยายามไปใส่บาตรตลอด อาหารของท่านจะทำอย่างประณีต มีรสดี
ต่อมา กลุ่มเราได้เข้าไปช่วยทำครัวที่วัดกับคุณพรสวรรค์ มีช่วงหนึ่งคุณพรสวรรค์ไม่อยู่ไปธุระ พวกเราซึ่งทำอาหารไม่เป็น ก็รอดตัวได้เพราะได้สูตรอาหารจากคุณป้ามาย
คุณแม่ของคุณหมอปัญญา อยู่ประเสริฐ ท่านจะนำมะพร้าวที่สวนมาให้ที่วัดประจำ พร้อมกับจะคอยถามถึงเครื่องทำครัว เครื่องใช้ต่าง ๆ ขาดไหม ช่วงหลังคุณแม่ไปวัดไม่ได้ ได้แต่บ่นถึงน้ำพริกสูตรคุณยาย(มารดาพระหลวงตา) ที่ทำถวายพระทุก ๆ วัน ห่อด้วยใบตองแห้ง รสชาติไม่เหมือนใคร จนต้องถามถึงสูตร...มีคุณหนุ่ยลูกสาวท่านจะคอยประสานงานตามประสงค์ของคุณแม่ เช่น ซื้อหม้อหุงข้าวแก๊ส (หม้อแรกของวัดป่าบ้านตาด) วันแรกที่หุงข้าว ผู้ใช้ก็ยังไม่รู้วิธีดีเท่าไหร่ ก็เริ่มใช้หุงข้าวทันที หุงเสร็จก็ทำกับข้าวอย่างอื่นต่อ
ในรุ่งเช้าวันนั้น พระหลวงตาได้เดินเข้ามาในครัว แล้วถามขึ้นว่า “มีอะไรไหม้ไหม กลิ่นเหม็นไปถึงกุฏิเรา” คนในครัวดูแล้ว ตอบว่า “ไม่มีอะไรไหม้ ข้าน้อย” ท่านบอก “ให้ดูดี ๆ ต้องมีเพราะเราได้กลิ่นถึงกุฏิเรา” ลืมไปว่ามีของใหม่เลยไม่ได้ดู พอนึกได้จึงรีบวิ่งไปเปิดดูหม้อหุงข้าวใหม่ ข้าวไหม้ที่ก้นหม้อจนดำ จึงกราบเรียนท่านด้วยความกลัวเสียงสั่นว่า “เป็นหม้อหุงข้าวใหม่ที่พึ่งได้มา” พระหลวงตาจึงพูดขึ้นว่า “หม้อใหม่ มันก็เป็นยังงั้นแหละ มันแสดงความอัศจรรย์ ถ้างั้นก็ไม่ขลัง สมกับเป็นของใหม่” พูดจบท่านหัวเราะ เสียงหัวเราะของท่าน...ทำให้ความกลัว กังวลของทุกคนในครัวตอนนั้นหายไปเป็นปลิดทิ้ง



มาวัดป่าบ้านตาดครั้งแรก
เมื่อปี พ.ศ. 2526 ช่วงงานกฐินได้มีโอกาสเข้าไปช่วยงานเตรียมทำกับข้าวรับกฐินในวันรุ่งขึ้น โดยมีคุณพรสวรรค์พาไปกราบขออนุญาตองค์พระหลวงตา
จากนั้นมีโอกาสเข้าไปพักภาวนา คุณพรสวรรค์จัดให้อยู่กุฏิหลังเล็กข้างครัวเก่าใกล้สระน้ำ สมัยก่อนฝ่ายผู้หญิง ตอนนั้นจะมีเพียงคุณยายชีน้อม และคุณแม่จันดี อยู่เพียง 2 ท่าน บรรยากาศของวัดจึงเงียบวังเวงมาก มีแต่ป่ากุฏิก็ยังไม่ค่อยมีเยอะ มีคณะชาวบ้านที่มาช่วยทำครัว เตรียมอาหารเสร็จประมาณ 6 โมงเย็นจะกลับบ้าน...จะมาอีกก็เวลาตี 5 รุ่งขึ้นจึงกลับมาทำอาหารถวายพระตอนเช้า
ในครัวสมัยก่อน ถ้ามีคนส่งนมกล่อง-นมกระป๋อง หรือนมชนิดต่าง ๆ มาทำบุญ ท่านจะบอกให้จัดถวายเฉพาะพระป่วย หรือพระแก่ ส่วนพระหนุ่ม ท่านจะสั่งถ้ามีนมมาให้ชาวบ้านที่ไปช่วยในงานวัด คนแก่คนใช้แรงงานแบ่งกันไปกิน ส่วนพระท่านบอกว่าโตแล้วจะมากินนมทำไม ไม่ใช่เด็ก (ท่านมีอุบายพูดแท้จริงท่านห่วงพระท่านในการปฏิบัติภาวนา)
เวลาท่านจะไปธุระที่ไหนหลาย ๆ วัน ท่านจะเดินเข้ามาที่ครัว บอกคุณพระสวรรค์ว่า “เราไม่อยู่ เราเป็นห่วงพระเราเรื่องอาหาร ให้ดูแลอย่าให้ขาด ให้ทำให้เพียงพอ(เพราะเวลาท่านไม่อยู่ญาติโยมไม่ค่อยมาจังหัน(ถวายอาหาร)
และที่ได้ยินอีกคนที่ท่านสั่งเสียทุกครั้ง คือคุณแม่จันดีน้องสาวท่าน ท่านบอก “จันดีกูจะไปธุระ กูห่วงพระกูมากมึงเข้าใจไหม มึงช่วยกูรักษาพระนะ” (ท่านหมายถึงผู้หญิงที่มาเกี่ยวข้องกับพระ ให้คุณแม่จันดีช่วยดู ท่านเป็นห่วงลูกพระท่านมาก) คุณแม่อธิบาย “ผู้หญิง คือศัตรูที่พระพุทธเจ้าให้พระลูกศิษย์ของท่านระมัดระวัง เพราะเป็นอันตรายต่อเพศพรมจรรย์ และต่อมรรคผลที่สุด
ที่ศาลาวัดป่าบ้านตาด พระหลวงตา ในช่วงนั้นยังแข็งแรงท่านจะรับประเคนอาหารที่ผู้คนนำมาถวายด้วยตัวเองฉันเสร็จท่านจะเทศน์บ้าง ตามผู้คนญาติโยมเกี่ยวข้อง เพราะตอนนั้นถ้าไม่ใช่วันพระหรือ เสาร์ - อาทิตย์ คนจะน้อย จะมีอาหารที่ครัววัดเป็นหลัก โดยคุณพรสวรรค์ และมีครัวแม่เที่ยง คุณพ่อศรีไทยใหม่ และญาติพี่น้องลูกศิษย์ที่ส่งอาหารมาประจำ เช่นคุณหมอเพ็ญศรี มกรานนท์, คุณพ่อเสี่ยกิมก่าย, คุณแม่อ้วนสหสันต์ คุณแม่จีนอุดร, คุณหมอผู้ชายอยู่ร้อยเอ็ด (จะขนอาหารสด-แห้งมาทุก ๆ เย็นวันศุกร์และอยู่ภาวนาต่อ) และมีลูกศิษย์ท่านครูบาอาจารย์ วัดต่าง ๆ เช่น วัดป่าแก้ว, วัดหนองกอง และอีกหลาย ๆ วัด รวมทั้งคณะศรัทธาที่ไม่สามารถเอ่ยในที่นี้ได้หมด พอเห็ดออกท่านจะรีบเอามาถวายวัดพ่อแม่ครูอาจารย์
จึงได้แต่ กราบขออนุโมทนา กับคณะศรัทธาทุก ๆ ท่านและชาวบ้านตาดทุก ๆ คนที่ได้ดูแลพ่อแม่ครูอาจารย์ไว้ให้พวกเราได้อาศัยท่านเป็นที่พึ่งในปัจจุบัน



ได้ชีวิตใหม่
ความทุกข์จากพิษเศรษฐกิจ เมื่อปี พ.ศ. 2527 เป็นเหตุให้เกิดคำถามในใจว่า “มีสมบัติอะไร ที่ใครแย่งเราไปไม่ได้...มีไหม” ทำไมสมบัติทุก ๆ อย่างที่เรามีอยู่ หามาเก็บหอมรอมริบสร้างตัวมา จึงได้อันตรธานไปหมดพร้อม ๆ กัน กับคำว่า “ลดค่าของเงินบาท”
ความล้มเหลวทางจิตใจ สมบัติทรัพย์สินหมดสิ้นไป ยิ่งกว่าตายทั้งเป็น อยู่ในกองไฟดี ๆ นี้เอง มองไปรอบ ๆ กายเหมือนมีแต่เปลวไฟแผดเผาทำให้คิดว่า “เราจะอยู่ หรือจะตายดี ตายดีกว่า” เกิดคำถามคิดซ้ำ ๆ นี้อยู่ตลอดเวลา
จนกระทั่งมีเพื่อนคนหนึ่งเล่าว่า “เขาได้อ่านหนังสือธรรมะท่านที่เขียนหนังสือเล่มนี้ เป็นพระอยู่วัดป่าบ้านตาด ในหนังสือพูดถึง สมบัติ ที่โจร แก๊งโจรกรรม นักฉกชิงวิ่งราว ก็แย่งเอาไปจากเราไม่ได้ มีอยู่นะสมบัติที่เพื่อนอยากได้ ว่างเมื่อไหร่ เราไปวัดป่าบ้านตาดด้วยกัน ไปฟังจากปากท่าน”
กว่าจะตั้งหลักชีวิตได้ อาศัยฟังธรรมท่านอยู่นาน ชีวิตที่หมดสิ้นทุกอย่าง ใครไม่เจอ คงไม่รู้ เป็นความทรมานอย่างที่สุด หมดสิ้นยังไม่พอ แบกหนี้ไว้อีกมากมาย นรกอยู่ในใจ รู้แล้วว่าเป็นยังไง มีทางเดียวจะดับทุกข์ได้ คือตาย ไม่ต้องรับรู้ทุกข์ ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรอีก นี่คือใจในช่วงนั้น ต้องพยายามนึกถึงคำสอนขององค์ท่านให้คิด และจะพยายามคิดพุทโธแทน ได้บ้างไม่ได้บ้างก็พยายามปฏิบัติ ทำตามคำสอนขององค์ท่านทุกอย่าง...วันนี้ก็ได้คำตอบแล้วว่า สมบัติที่ใครแย่งเราไปไม่ได้ ก็คือทรัพย์ภายใน ธรรมภายในใจนี่เอง


“ตายในภาวนา” พระหลวงตาจะเผาศพให้
ประมาณเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2527 คุณพรสวรรค์ได้ช่วยขออนุญาตพระหลวงตาให้ได้มาพักภาวนา ได้เจอคุณแม่ทองมา(ร้านมิตรมงคลปัจจุบัน) พักกุฎิใกล้ ๆ กัน ได้ยินเสียงสวดมนต์ จึงไปขอสวดมนต์ทำวัตรด้วยเพราะทำไม่เป็น ท่านบอก “ทำวัตรสวดมนต์ต่างคนต่างทำเอาเอง จะได้ไม่กังวล เสร็จแล้วต่างคนก็ภาวนา”
เมื่อเข้าใจแล้ว จึงเดินกลับมาที่กุฏิตัวเอง กราบพระสวดมนต์ทำวัตรเย็น นั่งขัดสมาธิ นั่งอยู่ประมาณ 1 ชั่วโมง เริ่มปวดเข่า และปวดตามข้อเท้า ข้อนิ้วเท้า พยายามอดทน แต่ทนเจ็บปวดไม่ได้จึงหยุด ตอนเช้าก่อนกลับบ้านไปฟังเทศน์พระหลวงตาที่ศาลา





ท่านถาม “คนที่มาปฏิบัติภาวนาเขาจะลากลับชื่อคุณดำ ทำงานอยู่การไฟฟ้า ท่านถามว่า “ภาวนาเป็นยังไง จิตสงบไหม ถ้าจบสงบแล้วสบาย” ท่านพูดเหมือนรำพึง ทำให้ทุกคนที่นั่งอยู่ อยากพบความสบายที่ท่านพูดถึง เสียงท่านทอดยาวแผ่วเบาสัมผัสได้ถึงความเบาสบายที่ท่านกล่าวถึง ท่าทางคำพูดของท่านยังก้องอยู่ในใจทั้งวัน ในวันนั้นทั้งวัน ขณะทำงานไปด้วยจึงตั้งใจพุทโธอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งตอนเย็นมาขอภาวนาต่อที่วัดป่าบ้านตาดอีก และได้พบคุณแม่จันดี ท่านช่วยแนะวิธีสู้ทุกขเวทนาว่า “ให้อดทนเหมือนเราจะเดินทางจากหมู่บ้านนี้ไปอีกหมู่บ้านหนึ่งข้างหน้า ในการสู้ทุกข์ของเราก็ให้คืบหน้าในทุก ๆ ครั้งที่นั่งสมาธิให้อดทน ให้ฝืน ให้ได้เพิ่มขึ้น วันนี้ได้คืบ พรุ่งนี้ได้ศอก วันต่อไปได้วา ต้องมีวันถึงจุดหมาย” ปฏิบัติทำตามท่านทุกอย่างที่สอน
ตอนเช้าก่อนกลับบ้านขึ้นไปฟังเทศน์บนศาลา พระหลวงตาเทศน์เรื่อง ถ้านักภาวนาคนไหนตาย ขณะภาวนาท่านจะจัดงานศพให้อย่างสมเกียรติ ท่านพูดน้ำเสียงจริงจัง ท่าทางจริงจัง ขึงขัง ทำให้มีกำลังใจ วันนั้นมีกำลังใจมาก พุทโธต่อเนื่อง ไม่ได้บังคับยาก เวลาพูดคุยกับเพื่อนร่วมงาน เห็นในใจก็ยังระลึกพุทโธ รู้สึกแปลกเพราะไม่เคยเป็นมาก่อน
ตอนเย็นเลิกงาน รีบมาที่วัดป่าบ้านบ้านตาดอีก ขอพักภาวนา คุณแม่จันดีท่านมีอุบายเด็ด วันนั้นท่านบอก “ถ้าสู้ทุกข์ไม่ผ่าน ไม่ต้องเข้ามาในวัดอีก ห้ามผ่านกำแพงวัดเข้ามาในวัดเด็ดขาด คนไม่อดทน คนอ่อนแอ ไม่ต้องมาให้ท่านเห็นหน้าอีก คนเหลาะแหละ ไม่อยากพบ จะไม่สอน” รู้สึกตกใจมาก รู้จักท่านไม่นานทำไม ท่านพูดกับเราแบบไม่ถนอมน้ำใจเลย




เดินหงอยกลับมาที่กุฏิ กราบพระเสร็จ นั่งขัดสมาธิ คิดว่าคงเป็นคืนสุดท้ายสำหรับเรา กับวัดป่าบ้านตาด นั่งประมาณ 30 นาที ความทุกข์ทั้งหลายโผล่มา เหมือนกองเพลิง ปวดไปหมดตามกระดูกข้อเล็ก ข้อใหญ่ พุทโธ ไม่ต้องพูดถึง ระลึกไม่ได้ ได้แต่บอกตัวเองว่า “พระหลวงตาจะจัดงานศพให้ถ้าตายในภาวนา สอนยังไงมันก็ไม่ยอม จิตวิ่งหาที่อยู่ในร่างกายสักจุด ที่ไม่ทุกข์แต่ไม่มีเลย ร้องตะโกนในใจ พระหลวงตาช่วยด้วย ๆ ไม่ไหวแล้ว เห็นจิตตัวเองเหมือนหนูน้อยตัวหนึ่งที่ถูกไฟครอกอยู่ในบ้านที่เคยอาศัย ไม่รู้จะไปไหนวิ่งหาสักที่ ที่พออยู่ได้ สุดท้ายทนไม่ไหว ขณะนั้น! คิดจะดีดขาออกจากกันมีเสียงดังขึ้นในจิตว่า “ขาวัวขาควายที่เขาแขวนในตลาดไม่เห็นว่ามันร้องว่าเจ็บว่าปวด” ขณะนั้นจิตจ่อฟังธรรมยอมรับธรรมที่บอกขึ้นมา พร้อมกับจิตบอกขึ้นว่า “ขอถวายชีวิตเลือดเนื้อ บูชาธรรม” พอเสียงจบลง
จิตวางพึ่บ ความเจ็บปวดไม่มี มีเสียงดังขึ้นในจิตว่า “จิตก็สักแต่ว่าจิต กายก็สักแต่ว่ากาย เวทนาก็สักแต่ว่าเวทนา ต่างอันต่างจริง ต่างอันต่างอยู่” เห็นขาตัวเองฟาดขึ้นลงอย่างแรง กายเหมือนท่อนไม้ท่อนฟืน เวทนาก็แสดงตัวตามเรื่อง จิตก็ส่วนจิต...
ตอนเช้าไปกราบเรียนคุณแม่จันดี “ตั้งแต่เกิดมา ไม่เคยเห็น ไม่รู้ว่า 3 สิ่งนี้เขาแยกกันได้” ท่านบอก “แต่นี้ต่อไปทุกครั้งที่นั่งให้ผ่านทุกขเวทนาให้ได้ทุกครั้งนะ มันไม่ตายหรอก หนทางเคยเดินแล้ว รู้แล้วอย่ากลัวตาย”









ลูกศิษย์ส่งจิตออกนอก
ท่านสอนภาวนาไม่ให้ส่งจิตออกนอก ให้ตั้งสติจ่อที่จิต ส่งความรู้เข้ามาข้างใน ไม่ให้ส่งออกไปข้างนอก ลูกศิษย์ดื้อ ไม่ฟัง ส่งจิตออกนอกกว่าจะรู้ตัว นั่งอยู่บนหลังพญานาคแล้ว พญานาคพาแหวกชั้นดิน ผ่านชั้นหิน ทะลุชั้นน้ำ พุ่งลงเร็วมาก เสียงลมหวีดหวิว น่ากลัวมาก พุ่งลงไปลึกมาก จนถึงเมืองบาดาล เป็นเมืองของพญานาค มีเสียงดังขึ้น “จะพาท่องชมเมืองบาดาล” เป็นเมืองของพญานาค อยู่กันตามผลาญหินเป็นครอบครัว โดยมีกษัตริย์ คือพญานาคราชปกครองเมือง พญานาคราชจะอยู่แท่นหินสูงขนด(ขด)ตัวยกหัวชูสูงตามลำตัวมีปลอกทองประดับตามลำตัวเป็นระยะ ลำตัวมีเกล็ดเป็นสีเขียว พญานาคที่พาไป พาเหาะลอยวนรอบเมืองบาดาล 3 รอบ จึงพากลับขึ้นมาส่งเมืองมนุษย์
ลูกศิษย์คนนั้นเกือบช็อกตาย เพราะกลัวมาก ตัวสั่นเทา และเหนื่อยหอบ ได้รับบทเรียนที่ต้องจดจำไปจนวันตาย ฐานอวดดีไม่เชื่อครูบาอาจารย์ สำคัญมากในการปฏิบัติภาวนาไม่มีครูบาอาจารย์คอยแนะสอนอย่างใกล้ชิดไม่ได้เลย



ครูผู้ให้...พระหลวงตามหาบัว
เมื่อปี พ.ศ. 2528 ผู้หญิงเริ่มมาปฏิบัติมากขึ้น พระหลวงตาท่านเป็นห่วงลูกพระ ท่านจึงไม่ให้พระเข้ามาในเขตผู้หญิง นอกจากหลวงพ่อปัญญา แต่ถ้ามีกิจจำเป็นจริง ๆ พระต้องมาพร้อมกันหลายองค์
ภาพที่พระหลวงตา ถือไม้กวาดตาด เดินเข้ามาเขตปฏิบัติฝ่ายผู้หญิง เพื่อดูแลความสะอาดเรียบร้อย กุฏิที่แขกมาพักปฏิบัติ เรามองตามไปเห็นท่านเดินไปที่กุฏิ 23 ลุกเดินย่องตามไปยืนบังพุ่มต้นข้าวสารที่หนาแน่นมากในสมัยก่อนเห็นภาพ พระหลวงตาก้มลงเก็บเศษไม้ข้างเตาถ่าน กองรวมกันไว้เป็นระเบียบ เขี่ยขี้เถ้า ออกจากเตาถ่าน ยกเก็บไว้ให้เข้าที่ เอาไม้กวาดมากวาดพื้นใต้ถุนกุฏิ แล้วเปิดเข้าไปในห้องน้ำ ทำความสะอาด ออกมาจับไม้ตาดปัด
หยากใย่ แล้วกวาดตาดรอบ ๆ กุฏิทุกอย่างท่านทำอย่างรวดเร็ว คล่องแคล่ว ทำอย่างต่อเนื่อง ไม่มีท่าทางรังเกียจ สิ่งสกปรกที่ผู้มาพักทิ้งไว้ หลายคนคงคิดไม่ถึงว่าสิ่งที่ตัวเองทำทิ้งไว้ อาจจะด้วยความรีบกลับกลัวไม่ทันรถ หรือเวลาบีบบังคับตามความจำเป็นนั้น ผู้ที่มาเก็บทำความสะอาดคือ องค์พระหลวงตา ขณะยืนดู ทั้งตกใจ ทั้งซาบซึ้งใจ ในความเมตตา ท่านเป็นครูให้ศิษย์ในทุก ๆ อย่าง ในทุก ๆ เรื่อง ทำได้หมด หนังยางเส้นหนึ่งตกอยู่ที่พื้น ท่านก้มลงเก็บ เป็นครูสอนทุกกิริยาอาการ
ภาพที่เห็นทำให้เราน้ำตาคลอ นี่หรือคือพระหลวงตา เจ้าอาวาสวัดป่าบ้านตาด นี่หรือคือท่าน รักสงวนลูกพระ ผู้จะสืบทอดพระศาสนา ยอมทำทุกอย่าง ขอเพียงให้ผู้ปฏิบัติพ้นภัย ไม่ว่าจะเป็นพระ หรือฝ่ายหญิง ทำให้คิดไปไกลถึงเวลาไม่มีท่าน เราจะหาครูผู้สอนเราทุก ๆ กิริยาอาการที่เหมือนองค์ท่านได้ที่ไหน
เก็บภาพทุกอย่างมาเล่าให้คุณแม่จันดีฟัง หลังจากพระหลวงตากลับออกไปจากเขตผู้หญิงแล้ว เพราะพระหลวงตาเข้ามานั้น คุณแม่ท่านทำครัวอยู่ข้างสระ ท่านถามกลับ “พวกเจ้ามีความคิดมีความคิดยังไง พระหลวงตาทั้งแก่ เป็นพ่อแม่ครูบาอาจารย์” ท่านพูดพร้อมพนมมือเหนือหัว “ต้องทำทุกอย่างเพื่อรักษาพระ แต่ก่อนก็เป็นพระลูกศิษย์ทำ แต่ตอนนี้กลายเป็นพ่อแม่ครูบาอาจารย์ต้องมาทำแทน ท่านเห็นคุณของธรรม เห็นโทษของกิเลส ยอมทุกอย่างเพื่อรักษาทุก ๆ คนให้รู้ธรรม เห็นธรรม ได้ธรรมเหมือนท่าน”
คุณแม่ถาม “คิดอยากช่วยพระหลวงตาไหม ดูใจตัวเองแล้วรู้สึกว่ามีความสุขไหม ที่เห็นพระหลวงตาทำยังงั้น” ตอบท่านไปกับพี่อีกคนที่นั่งอยู่ด้วยกันว่า “ไม่อยากให้ท่านทำ ไม่อยากเห็น และไม่อยากให้ใครเห็น” คุณแม่ท่านอธิบายว่า “พระหลวงตาท่านทำอะไร จะแอบทำ ไม่ให้ใครเห็นง่าย ๆ หรอก ท่านไม่ได้เซ่อซ่า เหมือนพวกเจ้า เอาหละถ้าพวกเจ้าไม่อยากให้ท่านทำ แม่จะแนะให้สังเกตเวลาแขกอยู่กุฏิไหนกลับบ้าน ให้พวกเจ้ารีบไปเก็บกวาดทำความสะอาด ทุก ๆ อย่างให้เรียบร้อย ก่อนที่พระหลวงตาท่านจะเข้ามา ถ้าท่านเห็นสะอาดแล้ว ท่านจะไม่ทำ แต่ถ้าไม่สะอาดท่านก็จะทำเหมือนเดิม ห้องน้ำ หลุมขยะ ต้นหญ้ารอบกุฏิ ถอนด้วยยิ่งดีทำให้ดีที่สุด อย่าตามใจกิเลส ถ้ามันไม่อยากทำให้คิดถึงที่พระหลวงตาท่านพาทำ ธรรมอยู่ที่นั่นหละ ตรงที่เราไม่ชอบนั่นหละ สิ่งที่เราชอบเป็นกิเลสทั้งหมด เพราะใจเรายังไม่เป็นธรรมเหมือนใจท่านผู้สิ้นกิเลส ถ้าอยากสิ้นอย่างท่าน ให้ฝืนกิเลสทำตามที่ท่านสอน พระอย่างพระหลวงตาท่านสอนเราทำด้วยคำพูด สอนทุก ๆ กิริยาอาการเดินไปไหนไม่เคยเดินไปแบบคนมีกิเลส”
ตั้งแต่วันนั้นมา...พวกเราก็พยายามทำทุกอย่างตามคุณแม่จันดี เห็นแขกมาจะรีบเข้าไปทักทาย และถามแขกว่าได้อยู่พักภาวนากี่วันเที่ยวนี้ เพราะจะได้ทราบเวลาเขากลับแน่นอน จะได้รีบไปทำหน้าที่นั้นก่อนที่พระหลวงตาจะมาทำความสะอาด
องค์พระหลวงตา ครูผู้สอน ผู้ให้ ยอมทุกข์ ยอมทน ทุกอย่าง เพื่อกุลบุตร เพื่อยังศาสนา ภาพตรึงตาตรึงใจจึงขอฝากไว้ในใจของศิษย์ทุก ๆ ๆ คน
หัวใจที่มีแต่ให้ขอเทิด บูชาไว้ บูชาใจตลอดเวลา




อัศจรรย์ ! พระจิตองค์พระหลวงตา
ไปกราบคุณแม่จันดี ที่กุฏิในวัดป่าบ้านตาด บังเอิญได้ยินลูกศิษย์ท่านกำลังกราบเรียน ถึงเรื่องที่เขาเห็นจิตขององค์พระหลวงตา
เมื่อปี พ.ศ. 2535 ประมาณเดือนธันวาคม พระหลวงตาท่านจะเมตตามาเทศน์โปรดฝ่ายผู้หญิงทุกวัน เวลาประมาณบ่าย 3 โมงครึ่ง – 6 โมงเย็น ขณะ เขานั่งฟังเทศน์ท่าน...หูฟังเสียง สติดูใจ ระลึกพุทโธ ๆ ๆ ไปเรื่อย ๆ ๆ มองไปที่องค์พระหลวงตาไม่เห็นกายท่าน มีแต่พระจันทร์วันเพ็ญ ดวงใหญ่ สว่างจ้า ๆ ลอยอยู่ข้างเสาศาลาที่ท่านนั่งอยู่ไม่เห็นกายท่าน มีแต่พระจันทร์วันเพ็ญ ดวงใหญ่สว่างจ้า ๆ ลอยอยู่ข้างเสาที่ท่านนั่งเทศน์ แสงสว่างจ้าสาดส่องไปสว่างยิ่งกว่าเวลากลางวัน เป็นความสว่างที่ทะลุทะลวงไปได้หมด ความสว่างที่ไม่มีอะไรปิดกั้นได้ ทั้งน่าอัศจรรย์ และน่ากลัว
คุณแม่จันดีเตือนเธอผู้นั้นให้เรียกว่า “พระจิตที่บริสุทธิ์ขององค์พระหลวงตา และอย่าพูดว่าน่ากลัวให้คิดใหม่ พูดใหม่ว่า “น่าเคารพ - กราบไหว้ ยังงั้นแหละ กิเลสมันกลัวธรรม เห็นพระจิตที่บริสุทธิ์ของท่านผู้สิ้นกิเลส ไม่ใช่จะเห็นง่าย ๆ เห็นแล้วกิเลสมันยังดึงให้กลัว นี่แหละเรื่องของกิเลสให้พิจารณาเอายังจะยอมตัวต่อมันให้มันพาเกิดพาตายอยู่อีกหรือ”








กลัว ! สุดขีด
ผู้เขียนเจอหญิงสูงอายุผู้หนึ่งในวัด ถามเธอ “มีประสบการณ์ที่เกิดขึ้น กับตัวเองบ้างไหมช่วยเล่าให้ฟังหน่อย” เธอวางมือจากงานที่ทำ เดินมานั่งลงเหลือที่ไว้ให้นั่งข้าง ๆ เธอ
เธอเล่าว่า เมื่อปี พ.ศ. 2536 ประมาณเดือนมกราคม “เป็นคนดื้อ ไม่ค่อยฟังคุณแม่จันดีผู้เป็นอาจารย์ ไม่ว่าจะบอกจะสอนอะไร ก่อนจะทำตามท่านได้แสนลำบากไม่ยอมทำตามง่าย ๆ ยังไงก่อนจะทำตาม ก็ขอฝืนตามกิเลสตัวเองก่อน ไปไม่ได้จริง ๆ จึงกลับมายอมเชื่อฟังท่าน จนท่านหนักใจ ท่านถึงกับคิดคำนึงถึงองค์พระหลวงตา อยากให้มาช่วยสอนดัดสันดานกิเลสตัวดื้อ”
วันนั้นพระหลวงตาเดินเข้ามาฝ่ายผู้หญิง เวลาประมาณ 4 โมงเย็น ท่านพูดเสียงดัง เหมือนสั่งให้ทำอะไรสักอย่าง แต่จับใจความไม่ได้ คงได้ยินแต่เสียงท่านพูด กลัวท่านจนฟังไม่รู้เรื่องว่าท่านให้ทำอะไร จำได้ว่าคุณแม่ท่านสอนว่า “ถ้าพระหลวงตาท่านบอกหรือพูดอะไร ฟังไม่เข้าใจให้กราบเรียนถามอีก อย่าไปทำอะไร ตามกิเลสตัวเอง ไม่งั้นเดียวจะไปทำผิดจากที่ท่านบอก ถ้าเราทำผิดแล้วท่านจะสอนแบบฟ้าผ่า จะรับได้ไม” จึงได้กราบเรียนถามองค์พระหลวงตาว่า “พระหลวงตาพูดอะไรข้าน้อยไม่ได้ยิน” ครั้งที่ 1 พระหลวงตาก็พูด...ก็ไม่ได้ยิน กราบเรียนอีก ครั้งที่ 2 “พระหลวงตาพูดอะไรข้าน้อยไม่ได้ยิน” ท่านบอกซ้ำอีกครั้ง ยิ่งหนักเหมือนฟังไม่ทัน...ครั้งที่ 3 ไม่ได้ยินอีก...จนถึงครั้งที่ 4 ก็กราบเรียนอีกว่า “ข้าน้อยไม่ได้ยิน” เสียงฟ้าผ่าเปรี้ยงลงกลางกระหม่อม เสียงท่านดังขึ้นคราวนี้ได้ยินชัดทุกถ้อยคำว่า “หัวใจยังครองร่างอยู่ไหมนี้ สติมีไหม มันเป็นยังไง มีหัวใจไหม มีสติอยู่ไหม” เสียงธรรมของท่านดังกัมปนาท ฟาดลงบนหัวใจ หัวใจเต้นสั่นรัว ตัวสั่นรีบลุกขึ้นวิ่ง ! ไปข้างหน้าอย่างไม่คิดชีวิต เสียงคุณแม่ดังมาช่วยชีวิต “พระหลวงตาให้ไปเก็บใบไม้ที่กองอยู่ไปทิ้งในป่า” คราวนี้รู้แล้ว...ยิ่งวิ่งเร็วกว่าเดิม เพราะรู้แล้วว่าจะไปทำอะไร เสียงพระหลวงตาร้องตามหลังมาเสียงดัง “มันบ้าแล้ว ๆ บอกอย่างหนึ่งมันวิ่งไปทำไม มันบ้าใหญ่แล้ว” วิ่งไปก็ร้องบอกท่านไปว่า “ข้าน้อยจะไปเอาตีนเสือ” คงจะกลัวมากมือเสือที่ใช้กวาดใบไม้ก็เรียกผิด
หลังจากวันนั้น...อุบายดัดกิเลสของท่านได้ผลเกินคาด คนดื้อรั้น กลายเป็นคนเชื่อง ยอมปฏิบัติตามทันทีตามท่านเอ่ยปาก แต่บางครั้งกิเลสหมอบได้ไม่นานได้ช่องก็โผล่มาอีก ท่านต้องช่วยเตือนความจำอีกว่า “ ถ้าไม่ฟังท่านจะให้พระหลวงตาช่วยสอนอีก”



มะละกอตัวเมีย
ช่วงปี พ.ศ. 2536 ฉันไม่ใช่ผู้หญิงคนเดียวที่อยู่ในเขตปฏิบัติฝ่ายผู้หญิงในวัดป่าบ้านตาด คิดว่ามีโอกาสมาทั้งที อยากรู้ อยากเรียนความถูกต้อง ปฏิปทาที่แท้จริง ขององค์พระหลวงตา
ขณะนั้นประมาณบ่าย 3 ครึ่ง กำลังเก็บถ้วยชามกะละมังอยู่ ได้ยินเสียงดังขึ้นด้านหลัง “ไม่มีหู ไม่มีตา อยู่ไปกินไป มีตาก็เหมือนมีตามะขามขี้(ตาบอด) ไม่รู้จักดู ไม่รู้จักทำอะไร” รีบวางงานที่ทำ นั่งลงกราบท่าน มองไปรอบ ๆ ไม่มีใครเลย ท่านพูดให้ใคร ทำไมมีเราเพียงคนเดียว ตกใจ แต่นิ่งพนมมือต่อ
ท่านชี้ไปที่ต้นมะละกอ 2 ต้น ที่ยืนต้นคู่กันอยู่ “ต้นมะละกอตัวผู้ก็ไม่รู้จัก ตัดออกปล่อยให้มันแย่งอาหารต้นตัวเมียทำไม มันไม่มีประโยชน์ ตัดออก ไม่รู้จักดู” ท่านพูดย้ำ


หันมามองหน้า “บอกแล้วยังไม่ไปเอามีดมาตัดอีก ไปซิไป” เสียงท่านดัง ฉันลุกขึ้นได้รีบวิ่งไปหยิบได้มีปังตอวิ่งไปที่ต้นมะละกอ ด้วยความกลัวท่านเพราะท่าทางท่านจริงจัง สีหน้าของท่านขึงขัง ฉันชำเลืองดูแว๊บเดียวต้องรีบหลบสายตาท่าน สายตาที่ท่านมองมาเหมือนสายฟ้าแลบ เสียงท่านร้องดังขึ้นอีก “ยังไม่ตัดอีก ! ตัดสิ” เสียงท่านจบลง ฉันเงื้อมีดในมือขึ้นสุดกำลัง พอจะฟันลงไป ทำไมฉันไม่รู้เลยว่ามะละกอต้นไหนคือต้นตัวเมีย ชั่วนาทีนั้นมีเสียงดังขึ้น “พระหลวงตาเจ้าคะ ขอถวายช็อกโกแลต” ฉันรีบลดมีดในมือลง พิจารณาว่า มะละกอ 2 ต้น ต่างออกดอกทั้งคู่ ต้นหนึ่งดอกเป็นพวง มีกิ่งดอกคงเป็นตัวเมียแน่ ผิดจากอีกต้นมีดอกติดตามลำต้นเพียงไม่กี่ดอก เงื้อมมีดอีกครั้งตั้งใจตัด หันไปมองพระหลวงตา ท่านกำลังยืนอยู่ เริ่มมีคนเห็นท่านหลายคนมากราบท่านเพื่อถวายของบ่าย น้ำปานะที่เตรียมไว้ ทุกคนช่วยชีวิต
คิดได้จึงรีบย่องเข้าไปในป่า ไปกราบเรียนถามคุณแม่จันดีขอให้ท่านช่วยบอกว่า มะละกอตัวเมียเป็นยังไง ตอนนั้นท่านป่วย นอนพักอยู่ที่แค่ในป่า ด้วยความเมตตาสงสารท่านอุตส่าห์ เดินออกมาช่วยดูเพราะกลัวตัดผิดต้น พอมาถึงเจอพระหลวงตา ท่านนั่งลงกราบ แล้วท่านหันมาถาม “ก่อนหน้านี้คิดจะฟันต้นไหน” ชี้ไปที่ต้นดอกติดลำต้นไม่กี่ดอก ท่านอุทาน! “เออถ้าตัดต้นนี้ เจ้าตาย นี้แหละต้นตัวเมียที่ท่านให้เหลือไว้ ถ้าตัดต้องตัดต้นนี้ มะละกอตัวผู้มันจะเป็นกิ่งมีดอกตามกิ่ง ส่วนตัวเมียจะออกดอกติดตามลำต้นของมัน ลูกมะละกอก็จะออก และโตขึ้น ส่วนตัวผู้ดอกจะร่วงไม่มีลูก เอ้า ตัดตัวผู้” แล้วคุณแม่ก็พาถอนหญ้าบริเวณนั้นจนเกลี้ยง พาหาไม้ไผ่มาล้อมต้นมะละกอ และผักสวนครัว มีหลายชนิด ให้ในบริเวณดูสวยงาม เรียบร้อย
ขณะทำก็ถามทักท้วงท่านว่า “พระหลวงตาสั่งให้ตัดแต่ต้นมะละกอเท่านั้น คุณแม่ทำไมต้องทำอะไรต่ออีกเยอะแยะยิ่งป่วยอยู่” แต่ท่านก็ไม่หยุด คงพาทำจนเสร็จ ท่านบอก “จำไว้ ถ้าพระหลวงตาบอกให้ทำอะไร ต้องทำดีให้เกินที่ท่านบอก ท่านให้เรารู้จักคิดต่อ พิจารณาต่อ ไม่ใช่เอาแต่กิเลสออกหน้า ให้มันจูงไป ลากไปเพราะกิเลสมันคือ ตัวขี้เกียจ แม่อยากให้กิเลส อวิชชาหลุดออกจากหัวใจของเจ้า จะได้รู้ว่าความขี้เกียจ คือตัวกิเลส ฆ่ากิเลสให้ตายจากหัวใจแล้ว ความขี้เกียจ หายหน้าไปเลย มีแต่ความขยันเข้ามาแทน”




คำถามที่ดีที่สุด
คุณแม่จันดี ท่านเมตตาผู้หญิงคนหนึ่ง เห็นเดินจงกรมเธอก็ร้องไห้ ไม่ว่านั่งสมาธิ หรือนอนเธอก็ร้องไห้ แต่เธอไม่รู้ว่าเธอน่าสงสารแค่ไหน
ท่านบอกเธอถึงทางออกจากทุกข์ “โลกนี้มันโลกทุกข์ ไม่มีใครในโลกนี้ไม่ทุกข์ สังสารวัฏนี้ล้อมเต็มไปด้วยซากสัตว์ ซากมนุษย์ โลกนี้น่ากลัว ทุกข์เป็นสิ่งที่ควรหลีก แต่เมื่อมีเกิด ก็ต้องเจอ มีทางเดียว คือไม่ต้องเกิดอีกจึงไม่ทุกข์”
เธอถามท่านว่า “ทำยังไง ช่วยบอกทางนี้ให้เธอด้วย” คุณแม่ท่านบอก “ต้องมี ทาน ศีล ภาวนา ยิ่งภาวนานี้แหละทางดับทุกข์ มีอยู่ทางเดียว” เธอถามต่อ “ต้องออกมาอยู่วัดปฏิบัติหรือ” ท่านตอบว่า “ถ้าได้ธรรม ถึงขั้นอยู่บ้านไม่ได้ มันก็จะค่อยเป็นไปเอง” เธอ





สงสัย “อ้าว ถ้าการปฏิบัติ ภาวนาดีจริง ทำไม คุณแม่จึงไม่ให้ลูกมาปฏิบัติภาวนาละ ให้ลูกแต่งงานมีครอบครัวทำไม” ท่านตอบสวนมา “โอ๋ยถามถูก ตามตรง ยิงถูก ยิงตรงเหลือเกิน จริงหมดที่ถามมา นี่จริงทุกอย่าง ไม่มีใครในโลก ไม่มีแม่คนไหน ไม่รักลูกตัวเอง มีอะไรดีที่สุด ก็ต้องคิดถึงลูกก่อนคนอื่น แต่เรื่องของบุพกรรม ของแต่ละคนที่ทำมาไม่เหมือนกัน มันฝืนไม่ได้ แต่ดีแล้วที่ถามแม่ เป็นคำถามที่ดีที่สุด เพราะถ้าเป็นคนอื่นอาจไม่กล้าถาม แต่นี้ถือว่า ดีมาก กล้าถาม คำถามที่หลายคนอาจสงสัย อยากรู้ แต่ไม่กล้า แม่ถือว่าเป็นคำถามที่แม่ก็คิดไม่ถึง เหมือนกันว่าจะถาม แต่เมื่อถามมา แม่ก็ดีใจที่จะได้ตอบ เพราะใครดูก็คงคิดแปลก ๆ อยู่เหมือนกันว่าลูกตัวเอง ทำไมไม่ดึงให้มาภาวนา ทำไมดึงลูกคนอื่น ดีมากที่เจ้าถาม เป็นคำถามที่ดีมาก”
เธอคนถามรู้สึกชื่นใจ ในคำชมของท่าน ไม่มีใครเก่งกว่าเรา...อยู่พักปฏิบัติได้สักพัก ตอนหลังรู้ตัวจึงรู้ว่าตัวโง่แสนโง่ รีบมากราบขอขมาท่าน ท่านหัวเราะตอบว่า “ไม่เป็นไร อยากรู้อะไรก็ถาม ที่เจ้าถามมันก็เป็นความจริงทุกอย่าง แต่ไปอยู่กับคนอื่น ที่ไม่ใช่แม่ จะถามอะไรก็ให้พิจารณาก่อน เดียวไปยิงคำถามคนอื่นเขาไม่ชอบเขาจะพาลโกรธเอา คนถ้าใจไม่มีธรรมมันไม่ยอมรับความจริงง่าย ๆ นะ แต่นี่ดี ถึงจะโง่-ซื่อ ก็ดีกว่าคนฉลาด แต่มีเล่ห์เหลี่ยม คนแบบนั้นน่ากลัว น่ากลัวมาก ทางธรรมถือว่าน่ากลัว ควรหลีก โง่-ซื่อ พอสอนได้ค่อย ๆ ถากไปยากหน่อย ช้าหน่อย ก็จะทนเอา” เธอผู้นั้นน้ำตาคลอ หมอบกราบลง ขอบพระคุณที่ท่านเมตตาเธอ

ดัดกิเลสคนขี้เกียจ...ให้มีปัญญา
เมื่อปี พ.ศ. 2536 วันหนึ่งพระหลวงตาเดินเข้ามาเขตปฏิบัติธรรม (ฝ่ายผู้หญิง) ท่านชี้มือไปที่ต้นไม้ข้างบ่อน้ำบาดาลที่อยู่ใกล้ ๆ กฏิคุณแม่ ท่านสั่ง “ตัดต้นไม้นี้ออก มันไม่มีประโยชน์ เดี๋ยวมันไปแย่งอาหารต้นไม้ต้นอื่น” ข้าน้อยก็มองไปรอบ ๆ ว่าท่านบอกใครไม่เห็นมีใคร ก็แปลว่าบอกเรา...ท่านพูดจบ ท่านก็เดินลัดเลาะดูบริเวณทางกุฎิใหญ่คู่แล้วเดินกลับไปเขตสงฆ์...นั่งมองดูท่านเดินลับหายไป
จึงคิดหาทางออก ไม่อยากตัดต้นไม้ เพราะกลัวเหนื่อย...เลยเดินไปที่กุฎิคุณแม่ เล่าให้ท่านฟังว่าพระหลวงตาให้ตัดต้นไม้นั้นทิ้ง หวังให้ท่านสั่งให้คนอื่นทำ ตัวเองจะได้สบาย แต่ท่านกลับบอกว่า “อย่าตัดนะ ต้องขุดเอารากแก้ว รากฝอยออกให้หมด เอาดินถมหลุมที่ขุดให้นูนสูงขึ้น เวลาฝนตก ดินแน่น หน้าดินจะได้เสมอกัน ด้วยความขี้เกียจ ผิดหวังที่ไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ จึงรวบรวมความกล้า ถามท่านว่า “ข้าน้อยเคยได้ยินว่าผู้ที่ได้ธรรมเสมอกัน ธรรมอันเดียวกัน ยิ่งเป็นพระอรหันต์จะไม่มีความเห็นต่างกัน มีความเห็นอันเดียวกัน เหมือนกันทุกอย่าง นี่ทำไมพระหลวงตาสั่งให้ตัด แต่ทำไมพระคุณแม่จึงสั่งให้ขุด ทั้ง ๆ ที่เป็นพระอรหันต์เหมือนกัน” คุณแม่ท่านคงรู้กิเลสขี้เกียจ ท่านกำชับเสียงเข้มว่า “ไม่รู้จักว่าพระหลวงตาท่านจะดูหัวตับ หัวปอด ยังไม่รู้อีก ลองทำตามท่านพูดดูสิ จะได้เห็นกิริยาของพระหลวงตา อย่างที่ไม่เคยเห็นไม่เชื่อก็ลองทำตามดู...สุดท้ายคนขี้เกียจก็ได้ทำตามท่าน ต้องขุดให้ถึงรากแก้วต้นไม้
วันต่อมา พระหลวงตาเดินเข้ามา แล้วทำกริยาเหมือนท่านบอกไว้ล่วงหน้าทุกอย่าง ทำให้ต้องรีบกลับมาถามท่านอีกทำไมท่านรู้ว่า “พระหลวงตาเดินมาถึงตรงนี้แล้ว ท่านจะมีกิริยาที่แสดงออกมาให้เห็นในลักษณะนี้ คุณแม่ท่านบอก “ภาวนาไป ความโง่หมดจากหัวใจ แล้วจะรู้เอง”


ผู้ถูกลืม
ขอบคุณ คณะสวนปฏิบัติธรรมกรรณิการ์ที่ให้โอกาส คนที่ทุกคน อาจลืมไปแล้วในความทรงจำ ชีวิตที่เคยถูกห้อมล้อมด้วยบุคคลอันที่รัก ฉันไม่เคยรู้เลยว่าบุคคลที่ฉันดูแล ห่วงใย ทนทุกข์แทบเป็นบ้าแทนพวกเขา หลายครั้งที่หัวใจเต้นแรง และในหัวใจเหมือนมีเข็มทิ่มแทงอยู่เป็นร้อย ๆ เล่ม เจ็บปวดทรมานจนต้องไปหมอที่โรงพยาบาล ไม่เคยสักครั้งที่ทุกคนที่ฉันรัก จะรู้ถึงความทุกข์ ปกปิดทุกอย่างเพื่อคน
รอบ ๆ ข้างจะได้สบายใจ
หลายครั้งที่เกิดคำถามขึ้นในใจ “ทำไมพระพุทธเจ้า ท่านจึงทิ้ง สิ่งอันเป็นที่รัก ไม่ว่าลูกเมีย สมบัติ ไปบำเพ็ญในป่าได้ ทำไมท่านทำได้” แล้วเราแค่จะสะกิดออกจากหัวใจ สมบัติที่เราแบกไว้มาชั่วชีวิต รู้ว่าหนัก ทำไมไม่ปล่อย รู้ว่าทุกข์ ทำไมต้องทน
ลมหายใจสุดท้าย เราจะได้อะไรกัน คงสายเกินไป สำหรับวัยในบั้นปลาย ลมหายใจเฮือกสุดท้าย ขอฝากถึง บุคคลที่ฉันรัก ทุก ๆ คน ลืมฉัน แต่ฉันไม่เคยลืม หนักเหลือเกิน รู้แล้ว “ทำไมพระพุทธเจ้าจึงทิ้งภาระที่ท่านแบกอยู่” ทำไมฉันไม่รู้ก่อนหน้านี้ก่อนทุกอย่าง
จะสายเกินไป





ทุกข์ - เกิด - แก่ - เจ็บ - ...
โดย...แม่ต้อย
ชีวิตเกิดมามีแต่ทุกข์ ไม่เคยมีสุข เป็นเด็กคิดมาก รับรู้ปัญหาทุก ๆ อย่างกับแม่ที่เอาลูกคนโตเป็นเพื่อนในยามทุกข์ พ่อตายขณะลำบาก ยายตาย ต่อมาลุงตาย สิ่งเหล่านั้นรุมล้อมอยู่รอบตัว ภาระต้องรับเลี้ยงดูแม่ น้อง หลาน ๆ ต่อมาอีก ล้วนเป็นภาระสำหรับชีวิตฉัน
พอมีโอกาสรีบไปวัดหาทางหนีทุกข์ ทุกข์กองนี้ทำไมมันจึงใหญ่นัก หนักนัก เมื่อไหร่จะพ้นจากทุกข์นี้ได้ หนักเหลือเกิน ทุกข์เหลือเกิน หัวใจโหยไห้หาสุข ชีวิตนี้จะพบสุขได้ที่ไหน บุญพาไปได้พบกับพระหลวงตา ท่านเมตตาพาไปทำบุญยังวัดต่าง ๆ มีคุณพรสวรรค์ ช่วยให้ได้มีโอกาสติดตามท่านไปมีรถพ่อเริญ
ลุงบุญ ถ้าอาหารเยอะมากจะหารถกระบะ - รถหกล้อขนอาหารทุกอย่างสด - แห้ง ท่านจะเช็คถามละเอียด ข้าว น้ำตาล อาหารสด - แห้ง กาแฟ โกโก้ แบ่งลงวัดต่าง ๆ ตามสัดส่วน บางวันไปได้วัดเดียวเพราะระยะทางไกลมาก
ไปเชียงใหม่ไปกราบหลวงปู่แหวนวัดดอยแม่ปั๋ง เชียงใหม่ ท่านสะพายบาตรบอกให้คอย “พ่อจะไปบิณฑบาตมาให้กิน” ท่านจะเอื้ออาทรมีเมตตาต่อทุก ๆ คน ที่อยู่ใกล้ท่านแล้ว ไม่อยากไปไหนเลย
การได้สัมผัสปฏิปทา ความเมตตาขององค์พระหลวงตา ทำให้ซึมซับกลายเป็นนิสัยได้เวลาตัวเองจะซื้อของไปวัดทำบุญ ถ้าของไม่เต็มคันรถรู้สึกไม่เต็มในใจ เรื่องนี้ทำให้ผู้เฒ่าผู้แก่ที่ชอบไปวัดจะมาบอกบุญเป็นประจำ ต่อมานิสัยสละทาน การทำบุญตกเป็นสมบัติของน้อง ๆ คิดถึงพระหลวงตาเทศน์ว่า “ครอบครัวหนึ่งเข้าวัด 1 คน
ก็เป็นประโยชน์กับทุก ๆ คนในครอบครัว เพราะคนเดียวในครอบครัวนี้หละ จะดึงคนอื่นรู้จักบุญกุศล”
จึงแสวงหาครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นเพศเดียวกัน ได้รู้จักคุณแม่ จึงขอมาปฏิบัติอยู่ใกล้ ๆ ท่าน ครูบาอาจารย์ผู้จะช่วยผ่อนทุกข์ พยายามปฏิบัติตาม ปฏิปทาเดินแกะรอยท่านไป ตามร่องรอยเท้า เข้าหาธรรมภายใน
วันหนึ่ง ในวัยที่ทุกคนไม่ปรารถนา ครูบาอาจารย์ท่านได้ช่วยส่ง ทำให้ได้สัมผัสธรรมอย่างไม่คาดคิด ธรรมที่สามารถพลิกจิตของลูกศิษย์แก่คนนี้ได้ชั่วข้ามคืน เหมือนช็อกไปแล้วฟื้น สลบไปตื่นมา จึงรู้ได้ว่าจิตเราเปลี่ยนแล้ว ธรรมความจริงที่จะเกิดกับจิตได้ถ้าไม่ได้ครูบาอาจารย์ช่วยแก้ ช่วยบีบคั้นศัตรูภายในใจ เราคงทิ้งอะไรจากใจไม่ได้ กิเลสในหัวใจ ใครจะช่วยฆ่าถ้าไม่ใช่ท่าน


แม่...ช่วยด้วย!
เมื่อ พ.ศ. 2538 แม่วันมาจำศีลภาวนาที่วัดป่าบ้านตาด กับลูกสาวคนสุดท้องพึ่งเรียนจบครูใหม่ ๆ ไม่รู้ประสีประสาเรื่องภาวนา คุณแม่จันดีเมตตาบอกเวลาเดินจงกรม หรือนั่งสมาธิให้ระลึกคำว่า “พุทโธ” ไว้ในใจ
แคร่ที่พักในป่าอยู่ห่างกัน พอตกกลางคืนก็มืดไปหมด มีเพียงแสงจันทร์ และแสงเทียน ลูกสาวเดินจงกรม ส่วนแม่วันนั่งสมาธิบนแคร่
ขณะเดินจงกรมลูกสาวก็ท่องพุทโธ ๆ ๆ ไปตลอดพอผ่านแคร่ที่แม่นั่งสมาธิก็จะร้องเรียก “แม่ !” แล้วก็เดินไปจนถึงหัวจงกรมผ่านกลับมาถึงตรงแม่นั่งอีก ก็เรียก “แม่ !” เที่ยวแล้วเที่ยวเล่า จนแม่วันทนไม่ไหว จึงร้องออกมาว่า “ถ้ามึงกลัวมึงก็มานั่งสมาธิซะ กูจะไปเดินจงกรมเอง” ลูกสาวได้ยินจึงรีบออกจากทางจงกรมทันที...
ตื่นเช้ามาช่วยทำครัว พวกพี่ ๆ ที่ครัวท่านว่าการทำครัวคุณแม่ว่า
“เป็นการทำทานอย่างหนึ่ง คือได้ทานแรงทำอาหารถวายพระ ซึ่งเป็นอุบายช่วยในการปฏิบัติภาวนาอย่างหนึ่ง เป็นการลดความเห็นแก่ตัว และเป็นการสานข้องที่จะจับปลา ปลาก็คือการภาวนา - ข้องคือการให้ทาน, ถือศีล เป็นฐานในการที่เราจะปฏิบัติภาวนา ขณะทำอาหารคุณแม่ไม่อยากให้คุยกัน ทำงานไประลึกพุทโธไปด้วยนะ”
เช้าวันรุ่งขึ้น ช่วงฉันอาหาร คุณแม่จันดีได้เมตตาบอกว่า “ในวัดเป็นดงเป็นป่าเก่าไม่มีป่าช้าไม่มีอะไรน่ากลัวหรอก เทพ-เทวา ท่านไม่ ทำอะไรมีแต่จะมาขออนุโมทนาบุญด้วย”


อุบายไม่ให้กลัวผี !
เมื่อครั้งพี่สาวตายใหม่ ๆ กลัวผีพี่สาวมาก ๆ ห้องนอนพี่สาวไม่กล้าผ่าน หรือเดินเข้าไปเลย เป็นเวลาเกือบ 3 ปีกว่า ๆ เวลานอนก็จะนอนใกล้ ๆ กับ อาจารย์พัน (พี่สาวที่เป็นครู อายุใกล้เคียงกัน) เวลาที่เขาจะไปไหนก็ไปด้วย และถ้าจะขึ้นบนบ้านก็จะชวนไปเป็นเพื่อนตลอด
มาทำบุญถวายจังหันองค์พระหลวงตา และพระที่วัดป่าบ้านตาด ได้แวะไปข้างในฝ่ายผู้หญิงถวายอาหารคุณแม่จันดี ท่านได้เมตตาบอก “ให้พยายามเข้า-ออกห้องพี่สาวที่ตายบ่อย ๆ มันจะเกิดความเคยชิน ถ้าไม่ไปเราจะกลัว และไม่กล้าเลย” และท่านได้เมตตาเล่าเรื่องของท่านเมื่อครั้งยังเป็นเด็กให้ฟังว่า “พวกพี่ชายพี่สาวจะกลัวผีมาก เวลาไปไหนตอนกลางคืน ชอบชวนท่านซึ่งเป็นเด็กกว่าพี่ ๆ ไปเป็นเพื่อนเสมอ เพราะเป็นคนไม่กลัวผีเลย และพี่ ๆ ให้เดินตามหลังตลอด...ท่านไม่กลัวเพราะเวลาท่านเดินไปไหน ๆ มักจะแผ่เมตตาการแผ่เมตตาช่วยทำให้จิตใจกล้าหาญไม่กลัวอะไร”
ท่านเมตตาธรรมต่ออีกว่า “พยายามให้มีสติอยู่กับปัจจุบัน ระลึกรู้อยู่กับพุทโธได้ตลอดเวลา พุทโธไม่มีสูงมีต่ำ อยู่ตรงไหนก็สามารถระลึกได้ทุกที่ ตั้งใจเอานะ”




จิตสงบ...กลัวจิตจะไม่ถอน
ที่บ้านขายอาหาร ต้องตื่นแต่เช้ามืด ก่อนนอนทุกคืนจะสวดมนต์ ไหว้พระ
และนั่งภาวนาก่อนนอนทุกคืน มากบ้าง น้อยบ้าง ตามกำลังของใจ ของกายในแต่ละวัน
พี่สาวครอบครัวทุก ๆ คนจะถูกปลูกฝัง กับการทำบุญจนทุกคนในบ้านทุก ๆ วันหยุด
หรือมีเวลาว่าง จะพากันไปวัดแทนการไปเที่ยว
ยิ่งพี่สาว 2 คน ในชีวิตแทบจะไม่รู้จักว่าไปเที่ยวเป็นอย่างไร เพราะพี่คนโตจะสอนน้อง ๆ ทุกคนว่า เวลาไปไหนอย่าไปด้วยกัน เวลาเจออุบัติเหตุ จะได้ไม่ตายพร้อมกัน คนที่มีชีวิตอยู่จะได้ช่วยเก็บศพ ดูแลการค้าต่อไป เป็นเหตุให้ทุกคนในบ้านมีความรู้สึกว่าการไปเที่ยวอาจไปตาย ไม่ได้กลับมาเจอพี่น้องอีก ทุกคนจึงยึดวัดเป็นที่พึ่ง
นับว่าพี่สาวคนโตที่เป็นหัวหน้าครอบครัววางแผนการเดินทางชีวิตของทุกคนในครอบครัว ตามธรรมที่ไม่ให้ทุกคนมีชีวิตอยู่โดยประมาท แล้วยังบอกให้ทุกคนรวมทั้ง แม่ น้อง และหลานอยู่กับพุทโธ ไม่ให้ประมาท พี่สาวจะพูดถึงอำนาจของ
พุทโธว่า “ท่านคุ้มครองเราได้” พี่สาวไปวัดป่าสายพระหลวงปู่มั่นประจำ โดยเฉพาะวัดป่าบ้านตาด เข้าวัดตั้งแต่สาวจนแก่ ใช้ชีวิตอยู่กับศีลธรรม ภาวนา เป็นผู้ปลูก ผู้ฝัง
หยั่งรากธรรมไว้ในใจของพวกเราทุกคน
คืนวันนั้นนั่งภาวนาเหมือนทุก ๆ วัน ไหว้พระสวดมนต์ แล้วเปิดเทศน์พระหลวงตาฟัง นั่งภาวนาระลึกพุทโธ ๆ ๆ รู้สึกตัวชาไปหมดแล้ว เย็นวูบ นิ่งเงียบ ความเจ็ดปวดที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ก็หายไป กายเบา จิตเบา เป็นอาการที่ไม่เคยพบเลยตั้งแต่เกิดมา รู้สึกเบาสบาย นั่งดูความสบายที่ไม่เคยพบมาก่อน จนคิดวิตกในใจว่า ถ้าจิตเราเป็นอย่างนี้ถึงเช้า เราจะเปิดร้านอาหารได้หรือ เราคงลงไปตลาดไม่ได้
ต่อมาเริ่มมีความรู้สึกเจ็บขึ้นมา จึงลืมตาขึ้น นาฬิกาเตือน 6 ทุ่ม มีโอกาสไปวัดภาวนา จึงกราบขอคำแนะนำพระคุณแม่จันดีตลอดมา

ได้แต่สิ่งดี ๆ ... แม่แดง
ครั้งแรกเจอคุณแม่จันดีที่บ้านเพื่อน หลังจากได้คุยกับท่าน มีความรู้สึกว่าท่านเป็นคนรับฟังเรื่องราวความทุกข์ของเรา เล่าความทุกข์ของตัวเองให้ท่านฟังจบ ท่านบอก “เรียนทางโลก จบไม่เป็น เรียนทางธรรม จบเป็น ตอนนั้นยังไม่เข้าใจความหมาย รู้ว่าท่านอยู่วัดป่าบ้านตาด จึงไปกราบขอพระที่ศาลามาพักภาวนา อยู่ใกล้ท่านรู้สึกสบายใจ ท่านจะมีวิธีช่วยให้ลืมทุกข์ในใจ ท่านจะเล่าเรื่องตลกขบขันให้ฟัง รู้สึกเบิกบานใจลืมความทุกข์ เวลาอยู่กับท่าน
มีโอกาสถวายนวดเส้นท่าน คืนนั้นนวดเสร็จจึงอธิษฐาน ขอให้ข้าพเจ้าพ้นทุกข์ในชาตินี้ ท่านพูดขึ้นทันที “ให้ขอใหม่ ขอสูงเกินไป ฟังไม่เข้าใจ” จึงขอใหม่อีก “ขอพ้นทุกข์อีก” ท่านจึงเอามือมาจับหัวผู้ขอ แล้วบอกว่า “อย่าขอสูงเกินไป”
ต่อมาท่านให้เร่งภาวนา “อย่านอนใจถ้าแม่ตายก็ขอให้ได้หลักใจไว้”
จึงตั้งใจภาวนา ใจที่เคยทุกข์ ได้พบที่หลบทุกข์ ปัญหาที่เคยทำให้ทุกข์ที่สุด ก็เข้าใจ และแก้ปัญหาได้ ด้วยธรรมของพระพุทธเจ้า
กว่าจะรู้คุณแม่ท่านได้ช่วยทุก ๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาชีวิต ทางโลก ครอบครัวทั้งช่วยให้ได้รู้จักที่ หลบหลีกทุกข์ คือการภาวนาสงบใจตัวเอง ตอนนี้ความจำเป็นของชีวิต ต้องดูแลหลานอยู่ที่บ้าน อาศัยหลักธรรมที่เคยปฏิบัติมา และได้ผลเป็นที่อยู่แห่งใหม่ของใจ คุณแม่ท่านช่วยย้ายทุกข์ ออกจากใจให้ เอาความสงบใจ เข้ามาแทน
ชีวิตนี้ท่านคือผู้มีพระคุณ




ยายจำปา...จอมซิ่ง
ยายจำปาเป็นขวัญใจของทุกคนในครัวกลาง เป็นคนขยัน เก็บทำความสะอาดครัว ได้รวดเร็ว เรียบร้อย อย่างไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใครสมกับที่เคยอยู่ประเทศฝรั่งเศสนาน ปัจจุบันลูก ๆ ก็ทำงานเป็นปึกแผ่น อยากให้แม่ในบั้นปลายชีวิตได้มีโอกาสหาทรัพย์ภายใน กับองค์พระหลวงตามหาบัว และคุณแม่จันดี ลูกสาวจึงซื้อรถเก๋งฮอนด้าแจสสำหรับให้แม่ได้ขับมาวัดสะดวก
วันนั้นงานกฐินวัดป่าบ้านตาด พ.ศ. 2552 ยายจำปาได้ช่วยอย่างเต็มที่ ช่วยเก็บดูแลความเรียบร้อยในครัวกลางหลังจากเสร็จงานกฐินต่ออีก 3 วัน ก่อนจะไปช่วยงานกฐินที่วัดบ้านแพง จังหวัดนครพนม วัดที่พระลูกชายได้บวชอยู่ ก่อนจะไปก็ไปกราบลาคุณแม่จันดี
ท่านให้พรบอกว่า “ขอให้เดินทางปลอดภัยนะ” กราบขอบพระคุณในความเมตตาของท่าน
ยายจำปากับยายหนูพัน จึงออกเดินไปพร้อมกับรถฮอนด้าแจสคู่ใจ (ใคร ๆ ที่เคยนั่งรถแก จะรู้ดีว่าขับรถเร็วเหมือนรถไฟฟ้า ใครเป็นโรคหัวใจจะไม่นั่งรถที่แกขับ)
ขณะขับถึง อำเภอบึงโขงหลง ฝนตกพร่ำ ๆ พอถึงทางโค้ง ทันใด!นั้นมีรถมอเตอร์ไซด์ อยู่ข้างหน้า รถแจสหักหลบวิ่งพุ่งชนราวกั้นถนนทางหลวงเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ยายจำปาและยายหนูพันตกใจสุดขีด ขณะนั้นเหมือนมีคนมาอุ้มไว้ สติค่อยกลับมา รีบเปิดประตูรถออกมา
โทรศัพท์บอกน้องสาว น้องตกใจมาก “ถามว่าพี่เป็นยังไงบ้าง ได้รับอันตรายมากมั้ย
พี่หนูพันละเป็นยังไง” เสียงยายจำปา สั่น ค่อย ๆ ลำดับเหตุการณ์ เล่าให้ฟังถึงวินาทีเฉียดตายที่ผ่านมาว่าแปลกขณะที่ทุกอย่างเกิดขึ้นรู้ว่าควบคุมอะไรไม่ได้แล้วใจสั่นกลัวมาก แต่เหมือนมีคนมาอุ้มไว้ ถามยายหนูพัน ก็มีความรู้สึกเหมือนกัน พอถูกอุ้มความกลัวในใจลดลง อบอุ่นมั่นใจขึ้นทันทีว่าตัวเองปลอดภัย รู้ว่าคนที่อุ้มเราไว้ต้องเป็นพระคุณแม่จันดีแน่นอน.

เรื่องของแม่จอม
บ้านอยู่ในตัวจังหวัดอุดร สามีไม่ค่อยสบายอยู่บ้าน เป็นเพื่อนกันในยามแก่ ถ้าว่างจะพากันมาทำบุญที่วัดป่าบ้านตาด และไปวัดอื่นบ้างตามสภาพ และเวลาอำนวย
มาพักภาวนา ที่วัดป่าบ้านตาด ขอเข้าพักที่ศาลาครัวคุณแม่จันดี อยู่ได้ไม่นานต้องรีบกลับบ้าน เป็นห่วงสามีที่ป่วยต้องอยู่บ้านคนเดียว มีช่วงหนึ่งไม่ได้มาที่วัดนานมาก แต่ก็ภาวนาอยู่ตลอด วันหนึ่งนั่งสมาธิอยู่ที่บ้าน จิตสงบละเอียด เห็นเป็นภาพคุณแม่จันดีขึ้นมา ท่านพูดขึ้นเสียงดัง “จะมาห่วงใยอะไรมากมาย สมบัติภายนอก ก็หามากต่อมากแล้ว ไปหาสมบัติภายในกันต่อเถอะ” ตอนเช้าวันต่อมา เข้าไปกราบท่าน แล้วเล่าเรื่องที่เห็นขณะนั่งภาวนาให้ท่านฟัง
จากนั้นเวลาจะขออนุญาตสามีมาพักภาวนาที่วัด สามีอนุญาตให้มาได้นานหลายวัน ยิ่งช่วงเข้าพรรษาอนุญาตให้อยู่วัดภาวนาได้ทั้งพรรษา คุณแม่จันดีท่านเป็นครูต้นแบบทุกอย่าง ท่านบอกสมัยก่อนท่านบุกบืนปฏิบัติภาวนา ทำอาหารถวายพระ
ทำกิจวัตร ดูแลผู้เฒ่า ทำให้แม่จอมมาช่วยทำอาหารที่ครัวกลางตลอด
หลังจัดเตรียมอาหารที่ครัวไว้ถวายพระเช้าวันรุ่งขึ้น ทำธุระส่วนตัวเสร็จ
รีบไหว้พระสวดมนต์ทำวัตรเย็น นั่งภาวนา คืนนั้น ฝันเห็นพญานาคตัวใหญ่มาก อ้าปากแดง เห็นพระคุณแม่นั่งอยู่ในปากพญานาค แต่พญานาคไม่ทำอะไรท่านเลย สะดุ้งตื่นขึ้นทันที รีบลุกภาวนาต่อ เพราะเป็นภาพที่ยังติดตาติดใจ ทุก ๆ ครั้งที่ขี้เกียจภาวนา จะนึกถึงภาพนั้นมาสอนตัวเองไม่ให้ขี้เกียจ ถามตัวเอง “อยากเป็นผู้วิเศษเหมือนท่านมั้ย พญานาคที่เรากลัว ท่านยังไปนั่งในปากเขาได้ แล้วพญานาคผู้มีฤทธิ์มากยังรักษาคุ้มครองท่าน อยากได้ธรรมเหมือนท่าน ต้องขยัน พากเพียรจนถึงวันหมดลม”
เวลาคุณแม่ท่านพานั่งกินข้าวรวมกันที่ศาลาครัวฉัน จะเป็นโอกาสของลูกศิษย์ทุกคนที่นั่งอยู่ จะได้ฟังท่านพูด บางคนก็พูดเพลินไปตามเรื่อง ท่านจะมีวิธีทดสอบโดยตั้งคำ หรือชวนคุย คนช่างรู้ทั้งหลายจะรีบตอบ แล้วคุยต่อไม่รู้จักจบ ท่านจะเตือนสติ ลูกศิษย์เสมอเรื่องการตอบให้ตรงคำถาม จะพูดอะไรให้มีสติ พูดแต่น้องฟังให้มาก

ปริญญาโทโลก...สู่ธรรม
jewlekk@hotmail.com

ช่วงได้ปฏิบัติธรรมกับคุณแม่จันดี หลังจากกราบเรื่องภาวนา ถวายท่านแล้ว ท่านแนะด้วยประโยคสั้น ๆ ว่า “ให้ดูจิตมีอะไรจี้ลงในจิต” ฟังแล้วเกิดคำถามมากมายขึ้นในใจแต่ไม่มีคำตอบ ได้พยายามทำตามที่บอก
วันหนึ่งขณะเดินจงกรมอยู่เกิดปรากฎการณ์เกี่ยวกับความเป็นจริงของร่างกายที่แสดงตัวชัดเจนประจักษ์ใจ สลดสังเวชกับความไม่มีสาระแก่นสารของกายนี้ จนน้ำตาไหลอยู่พักใหญ่ ออกจากทางจงกรม เข้ากราบเรียนพระคุณแม่ ท่านฟังจบถามขึ้นว่า “แล้วลูกดูความสลดสังเวชนั้นหรือเปล่า” ตอบท่านว่า “ไม่ได้ดูเจ้าคะ ลูกลืม”
ในระหว่างนั้นได้ย้อนรำลึกดูถึงสภาวะที่ไม่ได้ดูความสลดสังเวชว่าเป็นเพราะเหตุใด ทำให้เห็นตัวการที่ทำลืมดูจิตที่เกิดความสลดสังเวช ซึ่งก็คือ “ความพอใจที่จิตเกิดความสลดสังเวชมีการให้ค่าอย่างไม่รู้ตัวว่ามาถูกทางแล้ว จิตหลงเข้าไปในความพอใจ เห็นว่าเป็นความสำเร็จแล้ว ค้างอยู่ที่จุดนี้” การที่พระคุณแม่ท่านทักขึ้นที่ตรงนี้ ทำให้เห็นความ “ยอกย้อนซ่อนเงื่อนของกิเลสในจิตที่ทำให้หลงทิศผิดทางไปได้ตลอดเวลา หลอกให้เราให้ค่ากับสิ่งที่เกิดขึ้น ในจิตว่าดี ไม่ดี ถูกผิด สำเร็จ ล้มเหลว แล้วก็ดีใจ เสียใจ พอใจ ไม่พอใจ อยู่แค่นี้ทั้ง ๆ ที่ประเด็นเหล่านี้ไม่ใช่เนื้อหาแก่นแกนของการปฏิบัติ เพื่อความพ้นตัวแม้แต่น้อย
คงจะไม่มีโอกาสแม้เพียงเศษเสี้ยวธุลีที่จะได้เห็นสภาวะเช่นนี้ หากไม่ได้รับฟังคำชีแนะที่เท่าทันกิเลสในช่วงนั้น แม้ในระยะต่อมาสิ่งที่เห็นในครั้งนั้นยังคงเป็นพื้นฐานที่ทำให้ขึ้นใจขึ้นเป็นลำดับ ๆ ๆ ในระยะต่อมาว่าทุกสภาวะที่เกิดขึ้นในจิตล้วนไม่เที่ยง เกิด ขึ้นชั่วระยะ แล้วดับไปในที่สุดไม่มีสาระใด ๆ ที่ควรแก่การยึดมั่นสำคัญหมาย
การได้เรียนธรรมจากองค์พระคุณแม่ และปฏิบัติตามคำสั่งสอนของท่านเป็นการย่นภพ ย่นชาติอย่างมีในสำคัญ อย่างยากที่จะหาได้ในสังสารวัฏนี้
ข้าราชการบำนาญ
ชีวิตลำบากต่อสู้ เพื่อให้ได้ตามที่หวังไว้ ยอมทนทุกอย่างเพื่อให้ได้อย่างที่ใจหวัง สมบัติทางโลกได้สมใจหวังไว้พอสมควร จึงลาออกจากราชการ มาปฏิบัติธรรมวัดป่าบ้านตาด ช่วงแรกไปพักกับแม่อุไร ช่วยงานทุกอย่าง ต่อมาแม่อุไรคงสงสารจึงบอกให้ไปภาวนา ตั้งใจภาวนา พักอยู่กุฏิ 23 เวลาไม่มีงาน ทำจิตก็ไม่ได้เป็นอย่างที่อยากให้เป็น การภาวนาไม่เหมือนหาสมบัติทางโลก ความอยากที่ตั้งไว้ กลายเป็นอุปสรรคใหญ่สำหรับตัวเอง จึงออกมาช่วยทำครัว ที่ครัวกลางมีคุณแม่ท่านดูแลอยู่ “ท่านไม่รับ” ท่านว่า “เดี๋ยวแม่อุไรจะไม่เข้าใจ” เพียรขอท่านหลายครั้ง...ท่านจึงบอก “ถ้าแม่อุไรมาตามให้บอกให้หมด แม่ไม่ได้เรียกมา”
แม่อุไรมาจริง ๆ เสียงแม่อุไรดังขึ้น รีบวิ่งไปซ่อนตัว ตัวสั่น ลืมที่คุณแม่ท่านสั่งไว้หมด ได้ยินเสียงพี่เขาที่อยู่ในครัวตอบแม่อุไร “ไม่มีใครเรียก เขามาเอง”
แม่อุไรกลับไป รีบออกจากที่ซ่อนเดินเข้าไปกราบคุณแม่ ท่านบอก “ตัวเจ้าสั่นไปหมด ไม่เป็นไรหรอก ครูอุไรเข้าใจแล้ว” ก้มกราบท่าน กลับมาทำครัวต่อ
จากนั้นท่านก็เมตตาสอนธรรม และความถูกต้องทุกอย่าง พยายามอดทน บุกบืนทำตามคำสอนท่าน ท่านชี้ให้ดูจอมปลวก ไปขุดตอรากไม้ใกล้แคร่ในป่าท่าน
“ทำอะไรต้องทำให้สำเร็จ

เลื่อมใสในพระศาสนา
โดย...ป้าษร
ที่บ้านจะมีกระดานตารางสำหรับจัดเวลาให้ตัวเองเพื่อสร้างบุญกุศล เป็นคนที่มีตารางชีวิต ระเบียบแบบแผนทุกอย่าง คงซึมซับจากคุณลุง(สามี) เป็นทหารทุกอย่างจึงอยู่ในกฎกติกา สามีตายป้ารับสมบัติที่ดีมา เมื่อเวลาภาวนา จึงตั้งกฎกติกา ไว้ตามที่อยากให้เป็น แต่มารู้ภายหลังว่าการภาวนาไม่ใช่อย่างที่คิด
วันนั้นพยายามทำตามคุณแม่จันดีบอก “ปล่อยจิตให้สบาย ๆ อยู่กับปัจจุบัน ระลึกรู้อยู่แต่กับพุทโธให้เป็นสายต่อเนื่อง” เลยคิดถึงงานที่เคยทำเป็นพยาบาล เลยกำหนดเป็นรับเอกสารพุทโธ เป็นสิ่งที่เรากำลังยื่นส่งไป พุทโธถูกลำเลียง ส่งเข้าไปวางตู้เอกสารข้างใน คือใจ ส่งไปเรื่อย ๆ ขณะที่จิตเพลินกันพุทโธ จิตสงบเห็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ถูกใบไม้ เถาวัลย์ ปกคลุมอยู่ หนาแน่น เต็มไปหมด เห็นตัวเองพยายามดึงเถาวัลย์ ใบไม้ออกจากพระพุทธรูปใหญ่องค์นั้น ในใจได้แต่คิด คงไม่มีใครเห็นพระพุทธรูปองค์นี้ จึงปล่อยให้เถาวัลย์ปกคลุมจนแทบจะมองไม่เห็น...จิตถอนรู้สึกความซาบซึ้งในพระศาสนาบุญกุศล แน่นหนาขึ้น มีน้ำหนักมากกว่าเดิม จึงตั้งจิตขอมาช่วยงานบุญที่วัดป่าบ้านตาด และพักภาวนาเป็นระยะ โดยอาศัยพึ่งป้านงคนดี พี่นงน่ารักมาก ขับรถมารับไปทำบุญ พักภาวนาด้วยกันตามเวลาอำนวย
อาศัยฟังเทศน์พระหลวงตาทางวิทยุ และขอคำแนะนำการปฏิบัติจากคุณแม่ ท่านจะแนะวิธีแก้ปวดขา เวลานั่งภาวนาถ้าจิตสงบ จะไม่รู้สึกเจ็บ อย่าเอาใจไปจ่อที่ความเจ็บ” ได้พยายามหลายครั้ง มีคติสอนใจตัวเอง ขณะความเจ็บปวดแสดงอาการ ขอทนอีกเม็ดงาเดียวก็พอ อาศัยท่องคำนี้แทนพุทโธ ได้ผลทนความทรมานผ่านเจ็บมาได้ รู้สึกภาคภูมิใจว่าเราได้สู้ทุกข์ ความเจ็บปวด ชนะใจที่ไม่อยากทน

ชีวิตในหัวใจ...ป้าแต๋ว (อาจารย์นิรมล)
เกษียณราชการบั้นปลายมาอยู่กับลูกที่กรุงเทพฯ ลูกชายคนโตไม่ค่อยสบายอยู่ที่อุดร เป็นเหตุให้ต้องกลับมาเยี่ยมเขา และรับเงินบำนาญ ด้วยความรักเป็นห่วงลูกชาย จึงไปวัดป่าบ้านตาด ทำบุญขอพรจากพระหลวงตา ให้ช่วยคุ้มครองลูกชายให้หายป่วยจากโลกที่เขาเป็นอยู่
ได้มีโอกาสรู้จักคุณแม่จันดี ทราบว่าท่านมีเมตตา จึงนำเรื่องทุกข์ในใจของเราไปเล่าให้ท่านฟัง ท่านแนะว่า “เวลาทำบุญอะไรทุกครั้งก็แผ่ให้เขา ยกบุญที่เราทำทั้งหมดให้เขาได้รับ จิตเขาได้รับบุญกุศลที่แม่พยายามส่งไปให้ เขาจะค่อย ๆ ดีขึ้น”
ท่านคงรู้ว่าจิตใจจะมีแต่ห่วงลูกห่วงหลานจนลืมตัวเองว่าตอนนี้คนที่น่าสงสารที่สุดคือเรา ผู้นั่งอยู่ในกองทุกข์ ต่อหน้าท่านขณะนี้ ท่านบอกว่า “ไปไหนก็ให้ระลึกพุทโธ ให้ภาวนาก่อนนอน ไหว้พระสวดมนต์ พาลูกหลานภาวนาอย่าให้ขาด
ทำไป ทำไป จิตสงบ แล้วสบาย มันไม่ตายหรอกภาวนานะ” ท่านสั่งอีก “อย่าลืมภาวนา ให้ภาวนาเด้อ” คิดถึงความเมตตา น้ำเสียงที่ท่านเป็นห่วงเรา แต่เราทำไมไม่ห่วงตัวเอง จึงพยายามทำทุกอย่างตามที่ท่านขอให้ทำ ลูกชายที่ป่วยอยู่อุดร ก็อาการดีขึ้น ไปหาหมอเองได้ ทำให้จิตใจของแม่ที่แบกลูก 7 คน หลาน ๆ อีกผ่อนคลาย ความทุกข์ลง และพยายามแหวกวงล้อมของความยึด ออกจากใจ เหมือนครูบาอาจารย์ท่านแนะสอน

ไม่รู้ว่าท่านกำลังสอน
โดย.... ครูนิด

เวลาทำสมาธิ

ให้ระลึกลมหายใจเข้าออก

ให้รู้ลมหายใจเข้าออก

หายใจเข้าสั้นก็รู้

หายใจออกสั้นก็รู้

หายใจเข้ายาวก็รู้

หายใจออกยาวก็รู้

ไม่ต้องบังคับลมหายใจ

ตามรู้ลมหายใจเข้าออก

สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้

สงบก็ไม่ยินดี ไม่สงบก็ไม่ยินร้าย

ไม่เอาทั้งสงบและไม่สงบ

เอาแค่รู้ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมปัจจุบันนั้น

ทำอะไรก็ให้รู้เหตุปัจจัย

รู้ไม่ใช่เพื่อ ยินดี ยินร้าย รู้เพื่อให้ รู้เหตุปัจจัย

เหตุแห่งความเจริญ

เคารพ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

เคารพ สิกขา 3 ศีล สมาธิ ปัญญา

เคารพในความไม่ประมาท

เคารพในการปฎิสันฐาน

เคารพใน ศีล

เคารพใน สมาธิ

เคารพในกันและกัน

หลักตัดสิน ธรรมวินัย 8 ประการ

ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด

เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้

เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส

เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย

เป็นไปเพื่อสันโดษ

เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่คณะ

เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร

เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย

ธรรมที่ควรเจริญ

สติ

สัมปัชชัญญะ

ศีล

สมาธิ

ปัญญา

วิมุตติ

วิมุตติญาณทัสสนะ

สัมมาทิฏฐิ เห็นชอบ

สัมมาสังกัปปะ ดำริชอบ

สัมมาวาจา พูดชอบ

สัมมาอาชีโว อาชีพชอบ

สัมมากัมมันโต การงานชอบ

สัมมาวายาโม ความเพียรชอบ

สัมมาสติ ระลึกชอบ

สัมมาสมาธิ ตั้งมั่นชอบ

สัมมาญาณะ ความรู้ชอบ

สัมมาวิมุตติ หลุดพ้นชอบ

สัมมาวิมุตติญาณทัสสนะ ความเห็นในการหลุดพ้นชอบ

สัมมาทิฏฐิ

คือ รู้ชัดซึ่ง เหตุแห่ง กุศล วิชชา เป็น เหตุ

รู้ชัดซึ่ง เหตุแห่ง อกุศล อวิชชา เป็น เหตุ

การบรรลุธรรมอาศัย สติ ปัญญา อุเบกขา เป็นมัทยัทธ์

รักษาสัจจะ เพิ่มพูลจาคะ ไม่ประมาทปัญญา ศึกษาสันติ

การปฎิบัติธรรม

คบสัตบุรุษ ฟังพระสัทธรรม อยู่ในประเทศเหมาะสม ตั้งสัจจะ เดินสัมมาทิฏฐิ เจริญความสงบ

ออกพิจารณาด้านปัญญา + พลังกุศล - บ่มอินทรีย์ นิพพิทา วิราคะ วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ

สติ - ศีล - สมาธิ - ปัญญา - วิมุตติ - วิมุตติญาณทัสสนะ

อัปปมาโณพุทโธ อานุภาพพระพุทธเจ้าไม่มีประมาณ

อัปปมาโณธัมโม อานุภาพพระธรรมไม่มีประมาณ

อัปปมาโณสังโฆ อานุภาพพระสงฆ์ไม่มีประมาณ

เรื่องของสมมติ อวิชชา ตัวตน ยึดตรงไหน หลงที่ไหน ผิดที่นั้น จุดต่อมแห่งภพชาติ

wiweksikkaram.hi5
 
จำนวนผู้ตอบ: 114
สมัครสมาชิก: Mon Mar 15, 2010 12:20 am
ที่อยู่: สุทธาวาสภูมิ

Re: พระพุทธเจ้าเสด็จประทับรอยพระบาทหน้ากุฎิ คุณแม่จันดี

Postโดย wiweksikkaram.hi5 » Sat Jul 03, 2010 11:15 pm

ลูกเคยเจ้าโมโหโกรธา จัดการให้ผู้อื่นได้มาตรฐานของตนเอง โดยหารู้ไม่ว่าตนเองนั้นได้มาตรฐานของบุคคลทั่วไปหรือไม่ ลูกเข้ามาในวัดป่าบ้านตาดแม่ษรแนะนำให้รู้จักพระคุณแม่จันดี แต่ท่านไม่ได้บอกว่าพระคุณแม่จันดีท่านคือใครมีความสำคัญอย่างไร ลูกนั่งลงตามแม่ษรแล้วยกมือไหว้ท่านเหมือนไหว้ผู้ใหญ่ทั่วไป พระคุณแม่จันดีท่านกำลังยืนอยู่ท่านเปลี่ยนท่าจากยืนจะนั่งลงอย่างยากเย็นทั้ง ๆ ที่ท่านปวดหัวเข่าตามธรรมดาของคนแก่ ลูกนึกในใจว่าคนแก่คนนี้ช่างมีมารยาทงดงามมีความอ่อนน้อมถ่อมตนอย่างเป็นเลิศ ลูกยังไม่เคยเห็นในโลกของความเป็นจริง ( ตอนนั้น ) ว่าผู้ใหญ่จะต้องนั่งลงรับไหว้ผู้ที่เด็กกว่า แม่ษรบอกว่าท่านไม่ธรรมดาแต่ลูกก็เห็นท่านนั่งเคี้ยวหมากและพูดคุยกับคนที่มาหาท่านเท่านั้น ไม่เห็นท่านไม่ธรรมดาตรงไหน
ลูกสนใจการปฏิบัติธรรมและได้อ่านตามหนังสืออย่างหลายหลากแต่ยังไม่รู้ในการเริ่มต้นจะทำอย่างไรตรงไหนดี รู้ว่านั่งหลับตานิ่ง ๆ และเดินจงกรมอย่างสงบ ๆ ก็ปฏิบัติมาอย่างนั้น คราวนี้ได้เข้ามาปฏิบัติธรรมที่วัดป่าบ้านตาดจะทำอย่างที่เคยก็ยังไม่เห็นพัฒนาการของตนสักที ก็แอบฟังแม่ดำ ( ผู้ปฏิบัติธรรมถือศีล 8 นุงผ้าถุงดำ ) คุยกันบอกว่าพระคุณแม่จันดีท่านพ้นทุกข์แล้ว ลูกจึงหาโอกาสขอฟังธรรมจากท่าน ตอนแรก ๆ ท่านก็ชวนคุยเรื่อย ๆ ธรรมดา ๆ ลูกก็เข้าใจว่าท่านชวนคุยเฉย ๆ แต่จริงแล้วท่านทดสอบการปฏิบัติธรรมของลูกว่าได้อะไรมาบ้าง ช่างเยี่ยมแท้ ๆ ลูกเองคือคนโง่ที่ไม่รู้อะไรเลย ต่อมาประมาณปี 2549 ลูกมีเพื่อนเข้ามาปฏิบัติอีก 2 คน และได้เข้าไปกราบท่าน ท่านให้โอกาสตอบปัญหาธรรม ( ตอนนั้นลูกยังโง่อยู่ ไม่รู้ท่านสอนอะไร ) นานตั้งแต่เวลา 10.00 น. ถึงเวลา 18.00 น. ท่านบอกว่าจบแล้ววันนี้ท่านยังย้ำอีกว่าเข้ามาในวัดไม่เชื่อแม่แล้วเข้ามาทำไม ตอนนั้นลูกยังงง ๆ อยู่ไม่รู้ท่านหมายถึงอะไร ตอนนี้รู้แล้วว่าวันนั้นพระคุณแม่จันดีท่านสอนข้อที่หนึ่งให้รู้จักฟังผู้ที่รู้จริงและมีความเพียรในการปฏิบัติ ข้อที่สองท่านสอนในท่านั่งพับเพียบท่านไม่ขยับตัวเลยตั้งแต่เวลา 10.00 น. ถึงเวลา 18.00 น. แต่ลูกและเพื่อน ๆ ทั้งขยับตัวและเปลี่ยนท่านั่งตลอดเวลาเมื่อเกิดเวทนา แท้จริงแล้วท่านสอนให้ทนทุกข์ต่อเวทนาให้ได้ มาบัดนี้ลูกขอกราบขอบพระคุณคุณแม่จันดีที่ท่านยอมเสียสละร่างกายท่านทนต่อเวทนาถึง 8 ชั่วโมงเพื่อสั่งสอนให้ลูกและเพื่อน ๆ ให้เกิดปัญญาได้คิด ช่างเป็นหนี้บุญคุณท่านเหลือเกินแล้ว


ท่านอ่านความคิดเราออก
โดย.... ครูนิด
ตลอดชีวิตของลูก มีแต่ความดิ้นรนหาเลี้ยงชีพยอมเหน็ดเหนื่อยเพื่อให้ได้เงินมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เข้าวัดน้อยทำบุญน้อยปฏิบัติธรรมน้อยขยันทำมาหากินมาก ๆ ก้มหน้าก้มตาทำงานงก ๆ ขยันสุด ๆ เสียสละเพื่องานราชการ เวลานอนไม่นอน เวลากินไม่กินเร่งทำงานให้เสร็จเพื่อเกิดผลประโยชน์สูงสุด แทบไม่มีเวลาพักผ่อนจนได้รับเกียรติยศชื่อเสียงระดับประเทศ ได้รับการเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งตามประเพณีนิยมก็แล้วเข้าใจว่านั้นคือความสำเร็จในชีวิต จะเปรียบเทียบความสุขอย่างอิ่มเอมของชีวิตก็ไม่ใช่ รู้สึกยังไม่อิ่มพอ สิ่งที่ได้มาคิดว่าเยี่ยมก็ยังไม่ใช่
เข้ามาปฏิบัติธรรมคิดว่ามาพักผ่อนเพื่อความสงบเพราะทนเห็นสิ่งที่ได้มาก็ยังไม่ใช่ จะดิ้นรนไปใย เมื่อมาเห็นแม่ดำต้องทำงานงก ๆ กิเลสพาไป อ้าวลูกจะเข้ามาหาความสงบสักหน่อยทำไมยังเหมือนโลก ๆ อีกล่ะ ลูกจะต้องมาทำนั่นทำนี่งก ๆ ท่าจะไม่สงบอย่างที่คิด ( ลูกคิดในใจคนเดียวไม่ได้พูดให้ใครฟัง ) ด้วยความเมตตาจากพระคุณแม่จันดีท่านช่วยเตือนสติ ท่านเล่าให้ฟังว่าท่านต้องทำงานมากมายเพียงใด ไม่มีน้ำประปาท่านต้องตักน้ำจากบ่อขึ้นมาใช้มาอาบ ต้องดูแลคนแก่ตาบอดต้องทำงานหนักสารพัด ลูกได้แต่นั่งฟังทำตาปริบ ๆ ไม่รู้ว่าท่านมาเล่าให้ฟังด้วยจุดประสงค์สิ่งใด ( ตอนนั้น ) และท่านพูดบ่อยครั้ง อีกทั้งยังเตือนว่ากลับบ้านอย่าไป
ดุด่าว่าให้ลูก ๆ ( ลูกกลับบ้านไปจะไปบ่นให้ลูก ๆ เรื่องบ้านไม่สะอาด ) ตอนนี้รู้แล้วว่าท่านรู้วาระจิตของลูกศิษย์ทุกคนเพียงใด รู้แม้กระทั่งพฤติกรรมที่บ้านของลูกศิษย์เช่นเราคนหนึ่ง อายความคิดของตนเองเหลือเกินช่างโง่เขลาเบาปัญญายอมให้กิเลสหาบหามพาไปดั่งพระหลวงตาพร่ำสอนอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ลูกไม่สู้ตายต่างหากน่าอายจริง ๆ



ผู้เลิศผู้รู้ตื่นผู้ทันการณ์
โดย.... ครูนิด
ลูกมีเวลาเมื่อใดจะชอบเข้าวัดไปช่วยงานต่าง ๆ รวมทั้งฟังข้อธรรมจากพระหลวงตาและพระคุณแม่จันดีครั้งละนิดละหน่อยก็ยังดี และไม่ขาดคืองานบุญใหญ่ของวัดป่าบ้านตาด แต่ละครั้งลูกศิษย์ทุกคนจะทราบว่าพระหลวงตาจะเน้นให้ร่วมทำบุญในเรื่องอะไรบ้าง เช่น สร้างตึกสงฆ์ อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่จำเป็นในโรงพยาบาล หรือทองคำช่วยชาติ อย่างเช่น วันที่ 12 สิงหาคม 2552 ลูกศิษย์ทุกคนทราบว่าพระหลวงตาท่านเน้นให้ทำบุญเป็นทองคำช่วยชาติ ลูกเองก็สงสัยว่าทำไมพระหลวงตาจึงเน้นในเรื่องทองคำ ช่วงนั้นทองคำบาทละ 13,150 ทั้ง ๆ ที่ลูกศิษย์หลายคนจะนำทองคำมาถวายเป็นประจำอยู่แล้ว ปรากฏว่าช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2552 ทองคำพุ่งขึ้นบาทละ 19,200 บาท ลูกจึงเข้าใจว่าทำไมพระหลวงตาท่านจึงเน้นให้ลูกศิษย์ทำบุญด้วยทองคำ ชาติไทยเราจึงมีมูลค่าของเงินเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 46 จากทองคำที่มีอยู่ในคลังหลวง ในช่วงระยะเวลาแค่ 4 เดือน ขอกราบมอบถวายชีวิตในการสร้างบุญกุศลใต้บารมีแห่งพระหลวงตาด้วยท่านคือ ผู้เลิศผู้รู้ตื่นผู้ทันการณ์
อยากมีส่วนร่วมในทองคำที่ท้องพระคลัง อธิษฐานจิตขอให้ได้ถวายทองคำกับพระหลวงตา อยากพาทุก ๆ คน ร่วมทำบุญใหญ่ ในครั้งนี้ อธิษฐานแล้วฝันดี ว่าพระหลวงตามาเมตตาครอบครัว ไม่นานจากวันนั้นเหมือนเทวดาส่งมาทุกคนในครอบครัว ได้ถวายทองคำ – เงินพระหลวงตา และพระคุณแม่จันดีที่วัดป่าบ้านตาด ในวันสำคัญ คือ
วันวิสาขบูชา ได้ถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา ด้วยกุศลในครั้งนี้ ขอให้ลูกข้ามท้องนทีแห่งทุกข์นี้ได้ในชาตินี้เทอญ

ประสบการณ์...ครูซิม
เมื่อปี พ.ศ.2545 ได้เข้ารับการผึกปฏิบัติธรรม ที่ทางจังหวัดจัดขึ้นในงาน เทิดทูนบูชาคุณพระหลวงปู่มั่น ที่วัดป่าโนนนิเวศ จังหวัดอุดรธานี วันนั้นครูบาอาจารย์หลาย ๆ ต่อหลายองค์ท่านเทศน์สอน การปฏิบัติภาวนา มีคุณแม่จันดีรวมอยู่ด้วย จำได้ท่านขึ้นไปบนเวที และสอนวิธีปฏิบัติ ท่านนั่งสมาธิ และสอนวิธีเดินจงกรม
ครูบาอาจารย์ทุกท่าน เปิดโอกาสให้ถามได้ ถ้าใครมีปัญหา หรือไม่เข้าใจ ได้เรียนถามท่านถึงการนั่งสมาธิ ท่านก็เมตตาตอบทุกคำถามที่ทุก ๆ คนถามท่านไป ตอบไปยิ้มไป เสียงเงียบไม่มีใครถามท่านจึงแซวทุกคนที่นั่งในห้องโถงใหญ่ว่า “คงจะเอามะพร้าวมาขายสวน แล้วคราวนี้เพราะไม่มีใครมีปัญหาอีก” ทำให้เสียงหัวเราะดังกระหึ่มขึ้นเสียงดังเพราะเป็นคำพูดที่จี้ถูกจุดของใจทุกคน
อีกวันหนึ่งไปทำบุญกับท่าน อธิษฐานในใจท่านให้พร และพูดตรงกับที่ขอทุกอย่าง ข้าพเจ้ารู้สึกซาบซึ้งยิ่งในความเมตตา ท่านล่วงรู้วาระจิต จงต้องสำรวมระวังในความคิด ตอนเข้ามาปฏิบัติใหม่ ๆ ไม่ทราบว่าคุณแม่มีแคร่อยู่ในป่า ข้าพเจ้าได้เดินจงกรมไปมาอยู่นาน ความที่เป็นผู้ไม่สำรวมระวัง ทำให้จิตฟุ้งซ่านคิดอกุศลเข้าจนได้ เมื่อสายตามองไปที่แคร่ถัดออกไปเห็นผู้หญิงนอนตะแคงหันหลังให้ (เห็นหน้าไม่ชัด) จิตที่ไม่มีสติ จึงทำให้ข้าพเจ้ารู้ไม่เท่าทันจึงคิดไปว่าเราอุตส่าห์ตั้งใจมาปฏิบัติธรรมที่วัดทั้งที่เราจะไม่มานอนให้เสียเวลา ใครหนอนอนอยู่ที่ตรงนั่น เมื่อถึงเวลากวาดตาด และทำอาหารเพื่อเตรียมในวันถัดไป ข้าพเจ้าไปที่โรงครัว แวะเข้าไปกราบพระคุณแม่จันดี วันนั้นเป็นวันโกน หลายคนขอเกศาท่าน พอถึงคิวข้าพเจ้า ท่านพูดขึ้นว่า “แม่มีแต่นอน จะเอาเกศาแม่อยู่บ่” รู้สึกละอายในความคิดของตัวเอง ได้แต่กล่าวขอขมาต่อท่านในใจ อย่าให้เป็นบาปเลย เพราะความขาดสติของของตัวเองแท้เชียวที่ทำให้เพ่งโทษท่าน ข้าพเจ้าจึงได้หลักธรรมที่สอนใจตนเองเรื่อยมาว่า ให้หัดเพ่งดูตนเถิด เพราะโดยส่วนใหญ่แล้วคนเราจะมองเห็นแต่ข้อบกพร่องคนอื่น ไม่ได้พิจารณาที่ตนเองเลยว่าดีร้ายสักปานใด ท่านได้ใช้วิธีการสอนที่แยบยลมาก ทำให้ข้าพเจ้ารู้จักสำรวมระวังความคิดมากขึ้น มีสติกำกับใจขึ้นมาบ้าง
เวลาทำสมาธิ

ให้ระลึกลมหายใจเข้าออก

ให้รู้ลมหายใจเข้าออก

หายใจเข้าสั้นก็รู้

หายใจออกสั้นก็รู้

หายใจเข้ายาวก็รู้

หายใจออกยาวก็รู้

ไม่ต้องบังคับลมหายใจ

ตามรู้ลมหายใจเข้าออก

สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้

สงบก็ไม่ยินดี ไม่สงบก็ไม่ยินร้าย

ไม่เอาทั้งสงบและไม่สงบ

เอาแค่รู้ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมปัจจุบันนั้น

ทำอะไรก็ให้รู้เหตุปัจจัย

รู้ไม่ใช่เพื่อ ยินดี ยินร้าย รู้เพื่อให้ รู้เหตุปัจจัย

เหตุแห่งความเจริญ

เคารพ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

เคารพ สิกขา 3 ศีล สมาธิ ปัญญา

เคารพในความไม่ประมาท

เคารพในการปฎิสันฐาน

เคารพใน ศีล

เคารพใน สมาธิ

เคารพในกันและกัน

หลักตัดสิน ธรรมวินัย 8 ประการ

ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด

เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้

เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส

เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย

เป็นไปเพื่อสันโดษ

เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่คณะ

เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร

เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย

ธรรมที่ควรเจริญ

สติ

สัมปัชชัญญะ

ศีล

สมาธิ

ปัญญา

วิมุตติ

วิมุตติญาณทัสสนะ

สัมมาทิฏฐิ เห็นชอบ

สัมมาสังกัปปะ ดำริชอบ

สัมมาวาจา พูดชอบ

สัมมาอาชีโว อาชีพชอบ

สัมมากัมมันโต การงานชอบ

สัมมาวายาโม ความเพียรชอบ

สัมมาสติ ระลึกชอบ

สัมมาสมาธิ ตั้งมั่นชอบ

สัมมาญาณะ ความรู้ชอบ

สัมมาวิมุตติ หลุดพ้นชอบ

สัมมาวิมุตติญาณทัสสนะ ความเห็นในการหลุดพ้นชอบ

สัมมาทิฏฐิ

คือ รู้ชัดซึ่ง เหตุแห่ง กุศล วิชชา เป็น เหตุ

รู้ชัดซึ่ง เหตุแห่ง อกุศล อวิชชา เป็น เหตุ

การบรรลุธรรมอาศัย สติ ปัญญา อุเบกขา เป็นมัทยัทธ์

รักษาสัจจะ เพิ่มพูลจาคะ ไม่ประมาทปัญญา ศึกษาสันติ

การปฎิบัติธรรม

คบสัตบุรุษ ฟังพระสัทธรรม อยู่ในประเทศเหมาะสม ตั้งสัจจะ เดินสัมมาทิฏฐิ เจริญความสงบ

ออกพิจารณาด้านปัญญา + พลังกุศล - บ่มอินทรีย์ นิพพิทา วิราคะ วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ

สติ - ศีล - สมาธิ - ปัญญา - วิมุตติ - วิมุตติญาณทัสสนะ

อัปปมาโณพุทโธ อานุภาพพระพุทธเจ้าไม่มีประมาณ

อัปปมาโณธัมโม อานุภาพพระธรรมไม่มีประมาณ

อัปปมาโณสังโฆ อานุภาพพระสงฆ์ไม่มีประมาณ

เรื่องของสมมติ อวิชชา ตัวตน ยึดตรงไหน หลงที่ไหน ผิดที่นั้น จุดต่อมแห่งภพชาติ

wiweksikkaram.hi5
 
จำนวนผู้ตอบ: 114
สมัครสมาชิก: Mon Mar 15, 2010 12:20 am
ที่อยู่: สุทธาวาสภูมิ

Re: พระพุทธเจ้าเสด็จประทับรอยพระบาทหน้ากุฎิ คุณแม่จันดี

Postโดย wiweksikkaram.hi5 » Sat Jul 03, 2010 11:16 pm

ครูนำ...คนซื่อ
ข้าพเจ้าเป็นคนซื่อ ชอบทำบุญ ปู่ย่า ตายาย ญาติพี่น้องเข้าวัดทำบุญถือศีล ภาวนา เป็นพื้นฐาน จึงเสาะแสวงหาที่ภาวนาช่วงปิดเทอม พ.ศ. 2535 มีเวลาจะมาขอพักภาวนาที่วัดป่าบ้านตาด ศึกษาธรรมกับคุณแม่จันดี ด้วยนิสัยที่ซื่อ
วันหนึ่งกวาดตาดเสร็จ เก็บไม้ตาดพิงกับต้นไม้ พระคุณแม่ท่านทัก “อย่าเก็บไม้ตาดไว้อย่างนั้น” ถามท่าน “ทำไมถึงพิงไม่ได้” ท่านบอก “เดี๋ยวไม้จะแทงก้นเทพที่อยู่บนต้นไม้” วันต่อมาเหลือบไปเห็นคุณแม่เก็บไม้ตาดพิงต้นไม้ไว้ รีบเข้าไปทัก “คุณแม่เคยบอกไม้ตาดจะแทงก้นเทพที่อยู่ต้นไม้” ท่านบอก “ต้นไม้ต้นนี้ยังเป็นต้นเล็กอยู่ ไม่มีเทพอาศัยอยู่” เข้าใจที่ท่านอธิบายแล้วเดินกลับมากวาดตาดต่อ แต่ก็ยังไม่เข้าใจท่านถามพี่ที่อยู่กับคุณแม่บอกว่าท่านให้อุบายสอนให้เก็บไม้ตาดให้เป็นระเบียบ
ปีต่อมาเริ่มเข้าใจ อุบายธรรมต่าง ๆ ที่ท่านสอน จึงกราบขอขมาท่าน และกราบขอให้ได้ธรรม ให้เห็นธรรมทุก ๆ อย่างที่อยากเห็น ท่านสงสาร คนซื่อ จึงให้พร “เอ้า วันนี้ อยากเห็นอะไร ให้เห็นหมด” กราบท่านเสร็จเข้าป่ากลับไปที่แคร่ ไหว้พระสวดมนต์เย็นเสร็จ เดินจงกรมต่อ “รู้สึกกายเบา จิตเบา อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เดินไป เดินมา รู้ตัวว่า ตอนนี้กายเราหายไป มีแต่ลมเข้าออก จึงหยุดเดินยืนนิ่ง ขณะนั้นเหมือนฟ้าตลบกลับลงมาเป็นดิน แผ่นดินพลิกขึ้นไปข้างบน ตอนนี้เห็นตัวเองหัวทิ่มลงมาข้างล่าง เท้าชี้ขึ้นข้างบน ตกใจร้องเรียกพี่ที่อยู่ใกล้ ๆ “ให้ช่วยจับชายผ้าถุงให้ด้วย ตอนนี้ขาชี้ฟ้าหัวทิ่มลงดิน ช่วยหนูด้วย ๆ ๆ”
พี่ ๆ วิ่งมา ร้องบอก “ตัวจริง ๆ ไม่เป็นอย่างที่เห็น ดูในจิตอย่ากลัว ทำเหมือนคุณแม่ท่านบอก




ให้เอาสติเกาะกำจิตไว้ให้ดี” จึงรวบรวมสติ เหมือนเอามือเข้ากำจิตไว้ให้แน่น แผ่นฟ้าพลิกกลับคืน แผ่นดินพลิกลงมา ทุกอย่างรอบตัว ๆ เป็นเหมือนเพลิงสีแดงโชนเต็มไปหมดทั่วบริเวณ แต่แปลกใจทำไม เราจึงไม่ร้อน เห็นคุณแม่ยืนกั้นพระเพลิงให้ รู้แล้วเข้าใจแล้ว จิตตอนนี้เกิดความเข้าใจทันที ที่ท่านให้พร ให้รู้ ให้เห็นทุกอย่าง ที่อยากรู้ ที่อยากเห็น ตามธรรม
โอ้ ธรรม พลิกแผ่นฟ้า ธรรมพลิกแผ่นดินเป็นอย่างนี้เหรอ แล้วที่เรายืนอยู่บนแผ่นนี้รอบ ๆ ทั่วทั้งโลก คือทะเลเพลิง แห่งความทุกข์ แผดเผา เร่าร้อน มีท่านที่มีธรรมคอยช่วยดับความร้อนให้ พอจิตเฉลยธรรม เฉลยโลก ให้ฟัง ร้องไห้ กราบไหว้ถึงคุณของท่านครูบาอาจารย์ผู้สอนธรรมปิดกั้นเพลิงไฟให้”
ปัจจุบันได้ธรรมคำสอนท่านมาบอกแม่ที่ป่วยให้อยู่กับภาวนา แม่ภาวนาพุทโธ ไม่ได้ ไม่อยู่ จึงบอกให้แม่ ระลึก “ตาย ตาย ๆ ๆ แทนพุทโธ” คืนนั้นจิตแม่สงบ แม่ว่า “แม่รู้สึกสบาย ไม่เคยสบายแบบนี้ และไม่กลัวตายอีก” ดีใจมากที่แม่เข้าใจ และสัมผัสธรรมได้ ส่วนพ่อไม่ห่วงเพราะสวดมนต์ ไหว้พระ ภาวนาตลอด พ่อเคยบวชปฏิบัติมา
ปัจจุบันไม่มีโอกาสมาวัดเหมือนเดิม เพราะดูแลพ่อแม่ที่แก่เฒ่าเจ็บป่วย ทั้งต้องดูแลหลาน ๆ อีก อาศัยธรรมที่พระคุณแม่เมตตามาช่วยในการดำรงชีวิต พยายามบอกหลาน ๆ ให้รู้จักพุทโธ ทุก ๆ วัน กราบขอพึ่งพระหลวงตา พระคุณแม่ให้ท่านช่วยเมตตาทุก ๆ คนในครอบครัวตลอด ขอพรท่านสององค์อาศัยท่านเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางใจ



เมื่อครั้ง...หลานน้อยมาวัดป่าบ้านตาด


น้องปูลูกแม่แดง
แม่พามาวัดด้วย กลางคืนน่ากลัว มืดไฟฟ้าก็ไม่มี นอนในมุ้งกับแม่ มองไม่เห็นหน้าแม่ ความมืดบวกกับความเงียบมันช่างโหดร้ายทรมานเกินไปสำหรับเด็กในวัย 10 กว่าปี หิวก็หิว คิดถึงบ้าน อยากให้เช้าเร็ว ๆ
ตอนเช้ากินข้าวเสร็จ แม่บอกจะไปเดินจงกรม รอแม่กลับมาที่แคร่ไม่เห็น จึงเดินตามหา ไปเห็นคุณยายจันดี นั่งทำไม้ไผ่สานล้อมต้นไม้ป้องกันไก่เขี่ย ท่านถาม “จะไปไหน” ตอบท่านและเข้าได้คุยกับท่านเล่าเรื่องเรียน เรื่องทัศนาจร ฯลฯ ลืมเวลาไปเลย จนแม่เดินมาตาม คุณยายคุยสนุก ใจดี ทำให้คิดถึงท่านและอยากมาวัด
ต่อมาชุมชนในหมู่บ้านมีงานบุญ และมีการประกวดหนูน้อยนพมาศ น้องปูก็ได้ประกวดด้วย ไม่มั่นใจตัวเอง แม่บอกให้อธิฐานขอให้คุณยายช่วยท่านจะรู้วาระจิต ว่าเราคิดอะไร น้องปูรีบยกมือไหว้ขอให้คุณยายช่วย ยิ่งตอนอยู่บนเวทีประกวดมีการทดสอบความสามารถ คณะกรรมการถามให้ตอบปัญหา น้องปูระลึกถึงคุณยาย และตอบปัญหากลับไปจนกรรมการชมว่าตอบได้ดีมาก เสียงตบมือดังกึกก้องของผู้ชมชอบใจในความสวย ฉลาดน่ารักของหนูน้อย
พอมาวัดตอนเช้าวันรุ่งขึ้นมากราบคุณยาย ท่านถามขึ้นมาก่อนว่า
“เมื่อคืนขอให้ยายช่วยใช่ไหม” คุณยายรู้เหมือนที่แม่บอกเลย คุณยายจึงเป็นที่พึ่งของเราตลอดทุก ๆ เรื่อง ความเมตตาของท่าน คือที่พึ่งทางใจของหนูกับแม่ “ขอให้คุณยายหาย
ป่วยจากโรคต่าง ๆ” อยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของลูก ๆ หลาน ๆ นาน ๆ





แม่ขอเรียก “ลูกหล้า”
รูปร่างสูงใหญ่ ไม่เป็นอุปสรรคใด ๆ ในตำแหน่งที่ท่านสุดแสนจะเมตตาให้เป็นลูกหล้า(ลูกคนสุดท้อง) ท่านจะเมตตาเอ็นดู เป็นพิเศษ ด้วยนิสัยที่ซื่อน่ารัก มีน้ำใจให้ทุก ๆ คนเป็นคนดีที่อยู่ในใจของทุกคน
สังเกตจากพอทุก ๆ คนพูดถึงลูกหล้า แค่เอ่ยชื่อก็จะพากันยิ้มเบิกบานทันที หลายครั้งที่คนอยู่ใกล้พระคุณแม่จะได้ยินท่านพูดว่า “เวลาลูกหล้าเข้ามาใกล้ ความเย็นจะเกิดขึ้นในใจท่านทุกครั้ง ท่านจะแถมด้วยรอยยิ้มที่หาดูได้ยาก ท่านจะคอยฟังเรื่องราวที่เกี่ยวกับลูกหล้าทุกเรื่อง ทุกอย่าง และหาวิธีช่วย แบบลับ ๆ และขู่เล็ก ๆ เมื่อท่านจะให้ปฏิบัติตาม รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ที่อยู่รอบกายของพระคุณแม่คือ ลูกน้อยที่น่ารัก สำหรับท่าน แต่เป็นผู้ใหญ่ที่คนอื่นอาจหมั่นไส้ก็ได้ เมื่อครั้งลูกน้อยเจอกัน และแย่งตำแหน่งกัน ทวงถามท่าน “อ้าวครูหนิงเป็นลูกหล้าแล้วข้าน้อยจะเป็นลูกอะไร” ท่านตอบทันที “ก็เป็นลูกคำของแม่” ลูกศิษย์อีกคนถามด้วยเสียงค่อยว่า “แล้วข้าน้อยเด้” ท่านตอบทันควัน “เป็นลูกแก้วของแม่” เสียงหัวเราะ ด้วยความดีใจของทุก ๆ คน ที่ท่านหยิบยื่นให้เป็นความอบอุ่น อบอวลไปด้วยความรัก และเมตตาเอ็นดู ท่านให้ใจทุกดวงได้เสมอ แม้จะเจ็บปวดทางกายของธาตุขันธ์ ด้วยลูกน้อยแวดล้อมอยู่เป็นเวลานาน...


หมูน้อย...ช่างสงสัย
เด็กอายุได้ 1 - 2 ขวบก็จะเริ่มพูดได้แล้ว แต่เด็กหญิงอ้วนหมูน้อยคนนี้ไม่ยอมพูด ทั้ง ๆ ที่ฟังอะไรก็รู้เรื่องหมด หัดให้พูด คำว่า พ่อ แม่ ปู่ ย่า ยาย ป้า น้าอา แต่หมูน้อยก็จะพูดเพียงคำว่า “วัว วัว ” เอารูปเสือ ช้างมา ปู ปลา มาให้ดู ให้หัดพูด ก็เหมือนเดิม “วัว วัว” มีพี่เลี้ยงชื่อยายมีอยู่ข้างบ้าน ที่พ่อแม่ขอให้ช่วยเลี้ยงดูตอนไปทำงาน ผู้เฒ่ารักเด็กเลี้ยงดูอย่างดี พยายามพูดไทยกับหลานน้อย
ช่วงเที่ยง ยายมีให้กินนมเสร็จ จะพานอน ก่อนนอนก็เล่านิทานให้ฟัง พอจบ แต่หมูน้อยไม่ยอมนอนยังลืมตาแป๋ว แต่ยายมีผู้กล่อมหลานจะหลับแทนขณะที่กำลังจะหลับก็ได้ยินเสียงพูดว่า “ปลา ปลา ปลา” ยายมีรีบลุกหายง่วงทันทีดีใจว่าพูดได้แล้ว พร้อมพูดขึ้นว่า “พูดได้แล้ว ๆ เอ้าลองพูดอีกที” หมูน้อยก็ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ และพูดว่า “วัว วัว” เหมือนเดิม “เอ้าแบบนี้ หลอกยาย จริง ๆ พูดได้แล้ว”
ต่อมาอีกไม่นาน หมูน้อยก็พูดได้ แต่ไม่ได้หัดพูดทีละคำเหมือนเด็กอื่น ๆ แต่พูดเป็นประโยคเลย ทุก ๆ เย็นเมื่อพ่อแม่กลับมาถึงบ้านยายมีก็จะกลับ และจะบอก
“ยายเมือบ้านก่อนนะ” หมูน้อยก็จะบอก “ไม่ใช่ ยายต้องพูดใหม่ว่า ยายจะกลับบ้านแล้วนะ เอ้าพูดใหม่” โลกอนิจจังตอนนี้กลับเป็นเจ้าหมูน้อยต้องหัดสอนพูดให้ยายมี
หมูน้อยจะได้ไปวัดกับพ่อแม่ ตั้งแต่เด็ก ไปวัดป่าบ้านตาด และวัดป่าบ้านจิก
(ช่วงนั้นพระหลวงปู่ถิรยังมีชีวิตอยู่) และวัดป่าบ้านตาดมีองค์พระหลวงตามหาบัว เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของทุก ๆ คน พร้อมกับมีคุณแม่จันดีที่เมตตามีธรรมดึงดูดให้อยากมาวัดยึดเหนี่ยว เป็นที่พึ่งของครอบครัวนี้
วันนั้นจะพาหมูน้อยไปกราบคุณยายจันดี จึงต้องอธิบายให้ฟังว่า
“จะต้องสำรวมท่านมีธรรมอันเดียวกันกับพระหลวงตา มีหูทิพย์ตาทิพย์ รู้อะไรล่วงหน้าเหมือนกับพระหลวงตา” หมูน้อยฟังตาแป้วแล้วถามขึ้นว่า “ทำยังไงดีหละใส่กระโปรงแต่ไม่ได้ใส่กางเกงในเพราะหนูฉี่ใส่แล้ว คุณยายต้องเห็นแน่ ๆ เลย” ต้องรีบตอบไปว่า “ตาทิพย์ของท่านจะเห็นแต่สิ่งที่มีประโยชน์ ที่จะช่วยโลกช่วยสงสาร ไม่ใช่มาดูแบบนั้น” ไปถึงได้กราบคุณแม่ ท่านเมตตาสอนธรรม เรื่องบาป บุญ - กรรมท่านสอนผู้ใหญ่จบ หมูน้อยถามขึ้น “คุณยายหนูอยากรู้ว่า เราทำยังไง เราถึงจะหลีกกรรมที่ไม่ดีได้ คุณยายอธิบายหมูน้อยตั้งใจฟัง และถามเป็นระยะ ๆ จนเข้าใจ






วันหนึ่งหมูน้อยกลับมาเล่าให้ฟังว่า คืนนั้นดูหนังสือเสร็จ ไหว้พระระลึกพุทโธ ไปเรื่อย ๆ ก่อนนอนเห็นเป็นสีแดงใหญ่คล้ายพระจันทร์ลอยเลื่อนใกล้หน้าต่างห้องนอน แปลกใจว่าพระจันทร์ทำไมลอยอยู่ต่ำขนาดนี้ ถ้าเป็นพระจันทร์ทำไมสีแดง ในคืนนั้นคุณพ่อของหมูน้อยก็เห็นเช่นเดียวกัน เล่าให้คุณยายฟังจนจบ ท่านเฉลยนั่นคือพระจิตที่บริสุทธิ์ท่านไปเมตตาหลานกับคุณพ่อและทุก ๆ คนในครอบครัว
ต่อมา พ่อ กับแม่ไปกรุงเทพฯ เอารถส่วนตัวไป ขากลับขับรถเร็วช่วงนั้นขณะขับมองไม่เห็นรถอ้อยที่จอดนิ่งเสียอยู่บนถนน ยังไงก็ต้องชนแน่นอน หลบไม่ทันแล้วเพราะวิ่งเร็วมาก เลยปล่อยพวงมาลัยรถยนต์ พ่อแม่จับมือกันเตรียมตัวตาย ขณะนั้นเห็นภาพคุณยายและเสียงท่านพูดดังขึ้นว่า “ไม่เป็นไร ไม่ต้องกลัว” วินาที! นั้นรถไปอยู่ข้างหน้ารถอ้อยได้ยังไง ทั้ง ๆ ที่ก็ปล่อยพวงมาลัยแล้ว สภาพรถก็จอดนิ่งอยู่ข้างทาง พ่อกับแม่ไม่เป็นไรปลอดภัยทั้งคู่ จนคนที่เห็นถามว่า “มีของดีอะไร” แม่มองไปที่รถ แล้วตอบว่า “มีรูปพระหลวงตามหาบัว และเกศาคุณยาย”
ทำให้ทุกคนในครอบครัวยึดท่านทั้งสองเป็นที่พึ่งตลอดมา หมูน้อยพยายามสอนน้องสาว(เจ้าหญิงน้อยไม่ว่าอยู่ อิริยาบถจะมีสติตลอดในการวางมาดให้ตัวเองสวยงาม ไม่ว่าการพูด เดิน นั่ง ยืน นอน ก็จะอยู่ในท่า และชุดที่สวยตลอดเวลา) จนหมูน้อยสงสารน้องที่ต้องเก๊กตลอดเวลากลัวจะเมื่อยว่า “ยิ้มก็ได้นะ หัวเราะบ้างก็ได้นะ” และสอนน้องให้ระลึกพุทโธต่อเนื่อง บางครั้งระลึกพุทโธไม่ได้ก็สอนน้องทำเหมือนทำการบ้านสิ “เขียนพุทโธไว้กลางอก” คุณยายท่านว่า “เราเป็นเด็กให้ทำสมาธิระลึกพุทโธอยู่กับปัจจุบัน เท่านั้นก็พอ” จนกระทั่งเย็นวันหนึ่งน้องนั่งอ่านหนังสือ และเอาลูกปัดมาหมุน ๆ เล่นแถวหู ขณะนั้นลูกปัดกลม ๆ ได้หล่นเข้าไปในหู น้องรีบร้องเรียก “คุณยาย ๆ ช่วยด้วย!” เสียงดังลั่นทุก ๆ คนตกใจรีบวิ่งเข้ามา พ่อรีบพาไปหาหมอ
หมูน้อยต้องบอกน้องว่าระลึกพุทโธ สลับเรียกหาคุณยายตลอดไม่ต้องกลัว ขณะนั้นพ่อขับรถ แต่ไม่รู้จะไปหาหมอหูคอจมูกที่คลินิกไหน ก็เลยหยุดรถโทรศัพท์ถามคลินิก พอดีหมูน้อยมองเห็นตึกข้าง ๆ ที่พ่อจอดรถมีคลินิก หู คอ จมูก พอดี เลยไม่ต้องโทร
หมูน้อยบอกน้องเห็นไหม “น้องพุทโธ ๆ ๆ ๆ เป็นการเปิดเครื่องรับก่อน คุณยายถึงส่งผลเมตตามาให้”


จิ๊บน้อย...เห็น...อัศจรรย์
ใน พ.ศ. 2550 จิ๊บน้อย เรียนอยู่ชั้นประถม 4 อายุ 10 ปี ถูกแม่ และยายส่งมาหาญาติที่อุดร ให้ช่วยพาไปอยู่วัดช่วงปิดเทอม หวังอยากปลูกฝังสิ่งดี ๆ ไว้ในใจเขา
จิ๊บน้อย น่าสงสาร จึงอยู่ท่ามกลางผู้ใหญ่ที่ไม่คุ้นเคย แม้แต่ป้าที่มาด้วย ก็พึ่งเห็นหน้ากัน ป้าหลานจำกันไม่ได้ ทำให้หลานน้อยเกรงใจ ไม่กล้าบอกป้าว่าลืมสบู่ และยาสระผม โชคดีในห้องน้ำมีสบู่ จึงไม่เป็นปัญหาพยายามทำตัวง่าย ๆ ทำงานทุกอย่างที่ผู้ใหญ่ทำ พระคุณยายคงสงสารจึงเมตตาเขาเป็นพิเศษ ท่านคงเข้าใจถึงจิตของเด็กน้อยคนนี้เลยให้ความอบอุ่นเต็มที่ จิ๊บน้อยจะถามป้า “ว่าอยู่ในวัดเราต้องทำอะไรบ้าง และทำเวลาไหน จิ๊บน้อยหอบการบ้านมาทำด้วย จึงแบ่งเวลา
ตี 4 ครึ่ง ตื่นมาไหว้พระทำวัตรเช้า ตี 5 มาช่วยครัว ทำอาหารเสร็จ เข็นรถอาหารช่วยผู้ใหญ่ใส่บาตร ล้างถ้วยเก็บกวาดในครัว กวาดตาดบริเวณรอบศาลาครัว กินข้าวเสร็จ ล้างถ้วยชาม เข้าไปเดินจงกรม พักช่วงบ่าย 30 นาที กวาดตาด เตรียมอาหารในครัวเสร็จ อาบน้ำ ทำการบ้านเสร็จ เข้าไปเดินจงกรม จนถึง 2 ทุ่ม ทำวัตรเย็น นั่งภาวนาต่อ และเดินจงกรมจนดึก การทำงาน และตารางการปฏิบัติของจิ๊บน้อยเป็นที่ฉงนของผู้ใหญ่ทุกคนในครัว ว่าเด็กขนาดนี้ เขาทำได้ยังไง วิ่งทำงานทุกอย่าง ช่วยงานทุกอย่าง กวาดถูศาลา ผู้ใหญ่ทำอยู่ก็ขอทำช่วย แม้ตำน้ำพริก (แจ่วบอง) ครกใหญ่ ก็อาสาตำ
การกระทำของจิ๊บน้อย ทำให้ผู้ใหญ่ต้องคิดเวลาขี้เกียจ วันนั้นจิ๊บน้อยบอกป้าว่า “ป้าจิ๊บกลัว วันนี้ป้าเดินจงกรมคนละครึ่งทางกับจิ๊บนะ” ป้าถาม “จิ๊บกลัวอะไร” จิ๊บน้อยตอบ “กลัวพระคุณยาย” กลัวท่านทำไม “คืนนั้น จิ๊บเดินจงกรมอยู่ พระคุณยายมายืนอยู่ตรงหัวทางจงกรม จิ๊บไม่กล้าเดินไปถึงที่เดิม เดินถึงกลางทาง จิ๊บเลี้ยวกลับก็มาเจอท่านอีกที่





หัวทางจงกรมนี้ แต่ท่านแต่งตัวเป็นพระมีแสงสว่างด้วย จิ๊บกลัวมาก จิ๊บเลยออกจากทางจงกรมไปหาป้าที่ครัว เดินผ่านกุฏิ ได้ยินเสียงท่านพูด จิ๊บแอบดู เห็นท่านนอนนวดอยู่ ป้า
จิ๊บกลัวพระคุณยาย” ป้าจึงพาหลานน้อยไปกราบพระคุณยาย จิ๊บน้อยเล่าเรื่องจบลง ท่านบอกหลานน้อย “ไม่ต้องกลัวนะ อย่ากลัว” จิ๊บน้อยถามต่อ “ทำไมพระคุณยายมีแสงสว่างนั่นละ” ท่านตอบ “ให้หลานยกมือไหว้เคารพธรรมนะ” ท่านพูดพร้อมเอามือจับหัวจิ๊บน้อย “หายกลัวหรือยัง” จิ๊บน้อยตอบ “หายกลัวแล้ว จิ๊บไม่กลัวคุณยายแล้ว คืนนี้พระคุณยายไปหาจิ๊บอีกนะคะ”
ในคืนนั้น ป้าบอกหลานน้อย “ถ้าเห็นพระจิตของท่านอย่าลืมเรียกป้ามาดูด้วยนะ ป้าอยากเห็น” พอเช้าช่วงกินอาหารจิ๊บน้อยต่อว่าป้า “เห็นป้ายืนนิ่งอยู่ทางจงกรมข้างต้นไม้ เรียกแล้วป้าก็ไม่ตอบ” พระคุณแม่ หันมาทางผู้ใหญ่ช่วยไม่ให้อายหลานที่ภาวนาสู้ไม่ได้ ท่านบอก “จิตเด็กเขาเป็นเหมือนผ้าขาว แล้วแต่เราจะเอาสีอะไรมาแต่งแต้ม” จิ๊บน้อยเล่าถวายพระคุณยายเรื่องเห็นพระจิตของท่านอีก แต่คราวนี้ไม่กลัว ท่านเลยบอกต่อ “ดีแล้วลูก ไปที่ไหนก็พุทโธนะ ตั้งใจเรียนหนังสือ เป็นเด็กดีของพ่อแม่ ให้เชื่อฟังพ่อแม่ และเป็นพี่ให้รักน้อง น้องเล็กกว่าเรา”
เมื่อถึงเวลาครบกำหนดจะกลับที่เชียงใหม่ จิ๊บน้อยไปกราบพระคุณยาย ถามพระคุณยายว่า “จิ๊บไม่อยู่พระคุณยายคงจะเหงา” ท่านตอบทันทีว่า “ไม่ถามยายก่อน ว่ายายจะเหงา หรือจะสบายหู” แล้วท่านก็หัวเราะ



รอดตาย
ยิ้มได้ทั้งน้ำตา จากแรงที่คุณส่งมา มันแรงมากพอที่จะช่วยให้คน ๆ นี้ ได้ยืนตรงนี้ รอยยิ้มที่ยังเต็มไปด้วยคราบน้ำตา คุณช่วยส่งมา จึงมีวันนี้ คุณคือผู้มีพระคุณหรือ?
อึดอัด อับอาย คับแค้น เศร้าหมอง เจ็บปวดระทมทุกข์ ชอกช้ำ ทุกข์ทน
แทนความรู้สึก ที่กลั่นกรอง ออกมาเป็นคำพูด ความหนักที่แสนสาหัส ที่บดขยี้ มันช่างเจ็บปวดสุดจะทน โหดร้ายทารุณ ผู้ไม่มีกำลัง ย่อมพ่ายแพ้ ผู้ที่แข็งแกร่งย่อมได้รับชัยชนะ...วันเวลาช่วยรักษา บาดแผล ลมหายใจเข้าออกเริ่มผ่อนคลาย
ชีวิตใหม่ เริ่มขึ้นหัดเดิน เหมือนเด็กทารกเริ่มตั้งไข่ ค่อย ๆ ย่างเท้าเหยียบลงไปในแผ่นดิน ขอตั้งจิตมั่นสัญญากับตัวเองว่า เท้าของเรา จะมีไว้เพื่อก้าวไปสู่ความดี
จะไม่ขอใช้ทุก ๆ อย่างที่มีอยู่ อวัยวะ หรืออาวุธใด ๆ ไว้เหยียบใครให้จมดิน
ได้พบคุณยายผู้ใจดี ท่านสอน “ให้ละวาง ทุกอย่างที่เจอมา อย่าแบกไว้
ปล่อยไปให้หมด อย่าให้ค้างอยู่ในหัวใจ ใครทำอะไรให้ ว่าอะไรไว้ ให้ปล่อยไป”
รู้สึกอบอุ่นเหมือนได้ชีวิตใหม่ ที่ไม่มีฝ่าเท้าใครตามเหยียบ.
หลานขอกราบขอบคุณ คุณยายจันดี ผู้มีธรรม


ฉันเป็นใคร ?
ฉันจำความได้อยู่กับพ่อแม่ครอบครัวที่อบอุ่นทุก ๆ คนรัก เอาใจ เติบใหญ่ ท่ามกลางสมบัติ สิ่งอำนวยความสะดวก ทุก ๆ อย่าง ที่ทุกคนเห็น ต่างพูดเสียงเดียวกันว่าฉันโชคดี ฉันฟังแล้วผ่านไป ไม่เคยรู้ซึ้งถึงสิ่งที่ใคร ๆ กล่าวถึง ฉันเฉย ๆ กับทุก ๆ ความรู้สึก ที่มอง พูดถึงฉันด้วยความชื่นชม
ทำไมต้องมีวันนั้น มันช่างเป็นวันที่โหดร้าย เป็นอะไร ๆ ๆ ที่เปลี่ยนฉัน เหมือนตกจากที่สูง ถูกทิ้งดิ่งลงสู่ก้นเหวลึก อย่างไร้ความปราณี รู้สึกตัวเห็นสภาพของตัวเอง ได้แต่คิด ถ้าฉันอยู่ในสภาพที่เป็นอยู่นี้ ทุกคนในบ้าน และใคร ๆ จะจำฉันได้ไหมในสภาพอย่างนี้ ถามใจตัวเอง เราตอนนี้ช่างดูแตกต่าง จากเดิมในทุก ๆ อย่าง แม้แต่ตัวฉันเอง ยังจำตัวเองแทบไม่ได้ ฉันเป็นใคร พ่อแม่คือใคร ครอบครัวของฉันอยู่ไหน? ที่พักบ้านพี่น้องครอบครัวที่อบอุ่นอยู่ไหน?
ฉันคือใคร หลังคาของบ้านหลังใหญ่ เคยคุ้มภัยจากแดดฝน ทุกคนในบ้านที่เคยเอาใจฉัน สิ่งอำนวยความสะดวกทุก ๆ อย่าง ดวงตาที่เคยมองด้วยความชื่นชม คำพูดที่หลุดจากทุก ๆ ปาก ทำไมโชคดี ทำไมมีบุญ มีวาสนา...
ทุก ๆ อย่างมลายหายไป พร้อม ๆ กัน สมบัติที่มีอยู่แต่ฉันไม่เคยรู้ค่า ที่ที่ฉันเดินมองไปรอบตัวขณะนี้ มันดูเวิ้งว้างไร้ผู้คน ไม่มีสมบัติใด ๆ ที่ฉันเคยมี ไม่มีคำสรรเสริญ ไม่มีบ้านไม่มีความอบอุ่น ฉันเป็นใคร? พ่อแม่ พี่น้องของฉันคือใครกันแน่...
วันนั้น...ถ้าไม่มีผู้หญิงคนนั้น ชิวิตฉันคงไม่เปลี่ยน
นี่หรือคือสัจธรรมความจริงความไม่เที่ยง มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ




หนีสุดชีวิต !
ใคร? ที่ตามติดสะกดรอย เขาต้องการอะไร หลายครั้งที่ฉันเหนื่อย ต้องหยุดการหลีกหนี อ่อนล้า...หมดแรง...ทอดอาลัย อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด ทั้งหนี และหันหน้า มาสู้กับศัตรูเป็นบางครั้ง ไม่อยากสู้ พร้อม ๆ กับไม่อยากหนี ฉันอยากมีชีวิตที่ไม่ต้องหนี และไม่ต้องสู้ ฉันอยากหยุดทุก ๆ อย่าง แต่ฉันไม่มีอำนาจเพียงพอ กับทุก ๆ สิ่ง ที่เกิดขึ้น และเป็นอยู่
วิ่งหนี และร้องตะโกนทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่าจะหนีพ้นกับคนที่ตามล่าฉันหรือเปล่า เพราะบุคคลเหล่านั้น พวกเขาอยู่ในเงามืดตลอดเวลา ฉันเพียร หาวิธีตอบโต้ ต่อสู้ แต่ฉันไม่สามารถฝ่าวงล้อม เข้าไปเปิดโปงขบวนการของพวกมันได้ มันเป็นขบวนการที่มีมีอำนาจสูงสุด องค์กรของมัน คงยิ่งใหญ่มากฉันขออธิษฐาน อย่าให้เพื่อนมนุษย์ที่อยู่บนโลกใบนี้ ต้องเจอ ขบวนการมหาอำนาจ และทรงอิทธิพล เหมือนฉันเจอเลย เพราะมันน่ากลัวมาก ใครที่ตกอยู่ในภาวะของการตามล่า คงไม่มีทางเลือก ทางรอดคงไม่มี ชีวิตฉันคงจบลงอย่างที่พวกมันต้องการจะให้เป็น ฉันมองไม่เห็นทางรอด ที่ฉันต้องทำเวลานี้ คือ หนี ๆ หาทางหนีให้ชีวิตรอด จากการตามล่า หนี ๆ จนกว่าชีวิตจะหาไม่ใครจะรอดชีวิตจากเขาได้
เพราะมันคือความตาย ถ้าไม่เกิด ฉันคงไม่ตาย
ถ้าฉันตาย ต้องเกิดใหม่อีกไหม ได้รับคำตอบจากคุณแม่ “เกิดแน่นอน”
“ถ้าไม่อยากเกิด ต้องถือศีล ปฏิบัติภาวนา จนพ้นเกิดตาย”






ใกล้ตาย...จึงรู้
ความสวยงาม ที่น่าหลงใหล ใครนะทำไมสวยงามเพรียบพร้อม ฉันอยากเดินตาม ไม่ว่าเธอจะเคลื่อนย้ายไปไหน คอยตามติด แทบไม่ห่าง ไม่ให้คลาดสายตา เธอโบยบิน ไปที่ไหน ฉันจะติดตามไป รู้ให้ได้ว่าเธอคือใคร เจ้าของเงาที่แสนสวย
ชีวิตของฉัน เฝ้าติดตามเธอมาจนถึงปัจฉิมวัยของชีวิต มันนานเกินสำหรับฉันที่ย่างเข้าสู่วัยชรา ฉันคงต้องให้ลูกหลานฉันช่วยติดตาม เงาปริศนาที่แสนสวย และน่าหลงใหล
ต่อไปแทนฉัน สุดท้ายของชีวิตลูกหลานของฉัน รับทำหน้าที่แทนโดยที่ฉันไม่ได้รับมอบหมาย ฉันแปลกใจ ทำไม ทำไม ลูกหลานฉันจึงติดตามเงานั้นเหมือนฉัน เงานั้นมันเป็นเงาของใคร? มีอำนาจอะไร? ทำให้เราทุกคนต้องตามเงานั้นไป
แท้จริงเป็นเงาในใจของเราเอง อารมณ์รัก อาลัย หลง
มันคืออสรพิษร้าย ที่ทำลายมรรคผล









พญานาคถวายไฟบูชาธรรม
ผู้เขียนมีโอกาสพบพูดคุย กับพี่คนหนึ่ง ขอให้เล่าให้ฟังถึงเรื่องราวที่เห็นพญานาคมากราบบูชาท่านที่มีธรรม
พี่เขาเล่าว่า คืนนั้นเป็นคืนวันออกพรรษา ประมาณ ปี พ.ศ.2546 นั่งภาวนาอยู่ในศาลาครัวกลางในวัดป่าบ้านตาด เวลาประมาณ 4 ทุ่ม ขณะนั้น “เห็นดวงตาใสแจ๋ว เหมือนแก้วใส ๆ ดูอ่อนโยนน่ารักมาก สายตาที่ทอดมองมา ดูน่ารัก น่าสงสาร รู้สึกแปลกใจ เอ๊ะนี่เป็นตาของอะไร ทำไมเราไม่คุ้น ดวงตาเป็นลักษณะนี้ เห็นพญานาคตนเล็ก ตนใหญ่ทอดลำตัวยาวกับพื้นดิน เรียงกันอยู่ หัวอยู่ระดับเดียวกัน เห็นหัวพญานาคยกขึ้นพร้อมกัน ยกสูงพอประมาณ แล้วก้มหัวลง ผงกหัวขึ้นลงทำซ้ำกันถึง 3 ครั้ง และมีเสียงดังขึ้นว่า “ขอถวายไฟ บูชาธรรม เห็นพญานาคผู้เป็นหัวหน้า มีแสงสว่างขึ้น ทั้งลำตัวสว่างมาก จนมองเห็นบริเวณนั้นสว่าง เหมือนเวลากลางวัน ไฟในลำตัวพญานาคพุ่งเป็นลำแสงออกไป และเห็นลำแสงลำใหญ่พุ่งออกทางปากพุ่งขึ้นกลางอากาศ จึงดูเป็นเป็นเพียงลูกไฟดวงหนึ่ง แปลกมากในตอนนั้น เหมือนรู้จิตความคิดของพญานาค พวกเขาบอก “พวกเขาไม่มีมือ เหมือนมนุษย์ใช้หัวผงกกราบแทนมือ และขอถวายไฟบูชาธรรมผู้มีธรรม อยู่ในฤทธิ์ที่เราทำได้” ใจเราขณะนั้นเกิดคำถาม “ไปกราบบูชาพระหลวงตาหรือยัง” เขาบอก “ไปก่อนมาที่นี่แล้ว กราบท่านแล้วจึงมา” (พญานาคเขาก็มีครอบครัว พวกเขาจะเข้ามากราบทีละครอบครัว) พอครอบครัวนี้ออกไป ครอบครัวใหม่ก็เข้ามา ทำแบบเดียวกัน น่ารักมาก คงนัดแนะฝึดหัดกันมาจึงกราบได้

พร้อมเพรียงกัน งดงามน่าดูมาก เป็นเรื่องแปลกแต่จริง ผู้ที่ท่านเห็นหลายท่านครูบาอาจารย์ ท่านรู้เห็นอะไร ๆ ที่ไม่เกิดประโยชน์กับผู้ฟัง แต่ละท่านจึงเงียบไม่พูด เห็นเหมือนไม่เห็น รู้เหมือนไม่รู้ ท่านจะพูดเฉพาะสิ่งที่เกิดประโยชน์เท่านั้น
แต่พี่เขาบอกว่า “เขาไม่ใช่ครูบาอาจารย์ ขอนำเรื่องนี้มาเล่า เพราะเห็นพญานาค เขาเคารพบูชาธรรม และเขาชื่นชมมนุษย์มนุษย์ที่เกิดมาในภพที่เพรียบพร้อม จะทำได้ทุก ๆ อย่าง ที่ภพอย่างพวกเขา ทำไม่ได้ จะปฏิบัติภาวนา แสวงหาธรรมจนถึงที่สุดแห่งทุกข์ก็ได้ พวกเขาเหงาหงอยในใจ น้อยใจในชาติภพของตัวเอง...” ได้รับรู้ถึงความรู้สึกของพญานาคจึงตัดสินใจเปิดเผยเพื่อเป็นกำลังใจกับเพื่อนมนุษย์ ๆ ทุก ๆ คน อย่าท้อแท้ อ่อนแอ หวั่นไหว ขอให้เข้มแข็ง และภาคภูมิใจในภพมนุษย์ของตัวพวกเราเองทุก ๆ คน
ต่อมามีช่วงหนึ่ง คุณแม่จันดี และคณะมีโอกาสไปอำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย ริมฝั่งแม่น้ำโขง เจ้าของบ้านขอให้ท่านไปนั่งบ้านพักติดแม่น้ำโขง อากาศเย็นสบาย มีลมโชย มีเมฆก้อนใหญ่ลอยมาบดบังแสงจากดวงอาทิตย์
ท่านบอกให้ทุกคนนั่งภาวนา แผ่เมตตาให้พญานาคที่อยู่ในแม่น้ำโขง มีคนหนึ่งที่ร่วมเดินทางไปในครั้งนั้น กราบเรียนท่านว่าขณะเธอนั่ง มีเสียงดังอ่อนหวานเป็นภาษาลาวเวียงจันทร์ (เสียงผู้หญิง) ดังขึ้นว่า “พญานาค น้อยใหญ่ กวงไกล เป็นสายมา หลั่งพนมกรเก้า” (พญานาคทั้งน้อย และใหญ่, ใกล้ และไกล หลั่งไหลมากราบไหว้)
พร้อมทั้งเห็นภาพญานาคใหญ่น้อย หลั่งไหลมาเยอะมาก มากราบไหว้คุณแม่ เธอกราบเรียนจบ ท่านเมตตาพูดขยายให้พวกเราที่ไม่เห็นฟังว่า “พญานาคมาหมด ตั้งแต่ต้นแม่น้ำโขงประเทศจีน จนสุดปลายแม่น้ำโขง ไม่เหมือนภพมนุษย์ ภพพญานาค เทพเทวดาส่งข่าวถึงกันได้เร็ว มาก็เร็ว ไม่เหมือนพวกเราจะไปไหนต้องนั่งรถ” พูดจบท่านก็หัวเราะ



พระธาตุดอยสุเทพ...ไหวโอนเอน



พระธาตุดอยสุเทพ...ไหวโอนเอน
ทัวร์บุญเริ่มออกเดินทาง โดยรถตู้มีคุณแม่จันดี, คุณป้าศรีเพ็ญ, คุณป้าสวน (ทั้ง 3 คน เป็นน้องสาวพระหลวงตา), มีครูอุไร ห้วยธาร และคุณหรัญญา อุดรฯ การเดินทางครั้งนั้นจะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าไม่มีคุณหรัญญา เพราะเป็นผู้ดูแลความเรียบร้อย ไม่ว่าด้านไหน บุญใหญ่ในครั้งนั้นต้องยกให้คุณหรัญญา การเตรียมเสบียง, น้ำ และของใช้ต่าง ๆ จะเป็นคนรอบคอบ สะอาด ละเอียดมาก
จำไม่ได้ว่าไปที่ไหนก่อนหลัง เพราะนานมากแล้ว พอลำดับได้ว่าคงเป็นช่วง พ.ศ. 2535หรือ 2536 แต่ที่จำได้ไม่ลืมเลยว่าโชเฟอร์รถตู้ทัวร์บุญ ชื่อ“คุณโส”
ขณะจะเดินทางไปกราบพระธาตุดอยตุง จังหวัดเชียงราย เกิดเหตุการณ์ต้นไม้ต้นใหญ่หักโค่นล้มขวางถนน รถวิ่งไปไม่ได้ จึงจอดรอให้เจ้าหน้าที่ตัดไม้ให้เสร็จ ในช่วงนั้น คุณแม่ท่านเดินลงจากรถไปยืนริมถนน มองลงไปข้างล่างมีก้อนเมฆสีขาว ลอยเป็นกลุ่ม ปกคลุมเต็มไปหมด ยอดเขาน้อยใหญ่ สลับซับซ้อน ต้นไม้ยืนต้นน้อยใหญ่อยู่เต็มยอดเขา ท่านยืนนิ่งอยู่นาน จึงหันมาชี้นิ้ว และพูดว่า “บริเวณนี้ แต่ก่อนเคยเป็นบ้านเมืองคน แต่ตอนนี้กลายเป็นภูเขาสูง นี่ละนะที่เขาบอก ตรงไหนเคยเป็นพื้นราบ เป็นทะเล ซากพืช ซากสัตว์ ที่ทับถมหลายร้อย หลายพันปี ต่อมาก็จะกลายเป็นภูเขาสูงน่าอนาถใจ สภาพเมืองเก่า เปลี่ยนไปขนาดนี้ แต่วิญญาณลูกหลาน บรรพชนที่เคยรักษาบ้านเมือง
ก็ยังอยู่ส่วนที่ไปเกิดก็เยอะ ส่วนที่ใช้กรรมไม่ได้ไปเกิดก็มาก” ท่านเล่าว่าขณะแผ่เมตตา
“ท่านบอกวิญญาณเหล่านั้น จำท่านได้ ทั้งดีใจ ทั้งเสียใจ เสียใจน้อยใจในตัวเจ้าของเองที่ยังใช้กรรม ทนทุกข์อยู่ในสภาพที่มาเจอกันอีกครั้ง
ทำไมท่านกับพวกเขาทุกอย่างจึงเป็นเหมือนฟ้ากับดิน
จิตวิญญาณส่วนมากก็ร้องไห้คร่ำครวญ ท่านแผ่เมตตาให้ บอกให้พวกเขารักษาศีล 5 ถึงเวลาได้ไปเกิดเป็นมนุษย์ จะได้ไม่ลืมทาง (ทางเดินที่ดีทางบุญกุศล)
พอตัดต้นไม้เสร็จรถไปต่อ ขึ้นไปไม่ไกลถึงพระธาตุดอยตุง มีอะไรเกิดขึ้นที่นี่อีกมาก แต่ผู้เขียนจำไม่ได้ จึงต้องผ่านไป ขอกล่าวถึงพระธาตุดอยสุเทพ สมัยก่อนทางขึ้นดอย มีทางเดิน และอีกทางมีรถรางลากขึ้นไปโดยใช้ลวดเส้นใหญ่ดึงโยงกันขึ้นลง
ขณะนั่งอยู่ในรถคุณแม่ท่านพูดขึ้น “น่ากลัวนะ ถ้านานไป กลัวลวดจะขาด ถ้าลวดขาด คนคงตายเยอะ” พอท่านพูดจบ ผู้ฟังกลัว จนตัวสั่น ท่านบอก
“จะกลัวทำไม แม่พูดถึงต่อไป เพราะของอะไรก็แล้วแต่ทุกอย่างต้องเสื่อม”
“ดูครูอุไรเห็นไหม ไม่รู้จักกลัวอะไรมีแต่สนุก” มองไปครูอุไรกำลังยิ้มอย่างร่าเริง
ตาก็มองนั้นมองนี่อย่างเพลิดเพลิน เห็นภาพครูอุไร ความกลัวเริ่มหดหายไป
ส่วนคุณหรัญญาจะนั่งนิ่ง มีกิริยาที่งดงาม เหมือนรูปกาย
คุณป้าทั้งสอง ก็นั่งเงียบ ๆ คอยสังเกตุน้องสาว(คุณแม่จันดี) ไม่พูดอะไรกัน
เมื่อถึงพระธาตุดอยสุเทพ ไปร่วมทำบุญแล้วเข้าไปกราบนมัสการองค์พระธาตุอยู่ด้านนอก
คุณแม่ท่านนั่งข้างหน้า ทุกคนนั่งเรียงถัดมาอยู่ข้างหลังท่าน เห็นท่านพนมมือนิ่งอยู่สักพัก ท่านกราบลง พวกเรากราบตาม ต่างคนก็นิ่งอธิฐานจิต ขณะนั้นเอง ! แสงฟ้าแลบ แปล๊บปล๊าบ ทำให้คนที่อยู่ทั่วบริเวณ ต้องมองตามขึ้นไปที่
พระธาตุดอยสุเทพองค์ใหญ่สีทอง ส่วนบนยอดกำลังเอนไป เอนมา
(ครึ่งขององค์พระธาตุพายอดพระธาตุเอนไป เอนมา ดูอ่อนระทวยถึง 3 ครั้ง) ผู้คนไม่ใช่น้อยที่เห็นเหตุการณ์ชั่วขณะนั้น ทุกคนเหมือนถูกมนต์สะกด ยืนชะงักอยู่กับที่
คนที่ได้สติคนแรกคือครูอุไร เสียงครูอุไรร้องเสียงดัง และวิ่งหนี ทั้งร้อง ! ทั้งวิ่ง
เสียงครูอุไรเรียกให้สติทุกคนกลับมา ทุกอย่างทั่วบริเวณเริ่มขยับเคลื่อนไหวตามปกติ ตื่นตะลึง กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ช็อกทุกคนที่เห็นเหตุการณ์ มีเพียงคุณแม่คนเดียวที่ยังนั่งอยู่พื้นกราบลงด้วยอาการปกติ พอท่านกราบเสร็จทุกอย่างก็กลับสู่สภาพปกติ พระธาตุองค์ใหญ่ยังคงตั้งเด่นเหมือนเดิม ท่านลุกเดินมาสมทบพวกเรา ท่านถามว่า “เป็นยังไงกันบ้าง” ทุกคนเล่าความรู้สึกขณะนั้นของตัวเอง ท่านหันมาถาม “เจ้าหละ ใจตอนนั้นคิดอะไร” ตอบว่า

“ใจคิดเร็วไปไกล ถ้ายอดพระธาตุหักโค่นลงมา คงเสียค่าซ่อมแซม ไม่ใช่น้อย เงินของประเทศต้องหมดเยอะ ต้องเสียเงินมาก คิดวนเวียนอยู่แค่นี้” ท่านหัวเราะ
“เจ้าคิดไกลนะ เป็นห่วงรัฐบาล เงินประเทศชาติ” แต่ใจแม่คิดเพียงว่า “ถ้าพระธาตุหักลงมาทุก ๆ อย่างที่อยู่ข้างล่างคงเหมือนเปลือกไข่ถูกทุบ”
เดินทางกลับ มาพักที่บ้านของแม่ชี(ท่านเคยไปภาวนาที่วัดป่าบ้านตาด)
คืนนั้น “คุณโส” โชเฟอร์ ขอไปกินข้าวข้างนอก กว่าจะกลับมาจนดึก ตอนเช้าขับรถจากเชียงใหม่ -ไปลำพูน คุณโสขับรถไปก็หลับไป คุณหรัญญาต้องหาเรื่องมาชวนคุยส่งเสียง เพื่อปลุกให้ตื่น เสียงพูดจบ ตาคุณโสก็ปิด มือจับพวงมาลัยรถ รถก็สวนไปสวนมาเยอะมาก ครูอุไร คุณหรัญญา ช่วยกันเรียกช่วยกันคุย ยังไงคุณโสก็ไม่ยอมตื่น ความเร็วของรถก็ไม่ยอมลด ทุกคนในรถกลัว! ตายแน่ คราวนี้รถต้องชนกับคันอื่น หรือไม่คงหักเลี้ยวชนต้นไม้ใหญ่ข้างทางแน่ ครูอุไร คุณหรัญญาหันมาหาคุณแม่
“คุณแม่ช่วยด้วย ! คุณโสหลับใน”
สถานการณ์นั้นรถวิ่งฉิว เร็วมาก คนขับหลับตาปิดสนิท แต่รถคงวิ่งด้วยความเร็วสูง
คิดถึงชะตาชีวิตของตัวเอง ที่ตอนนี้ตกอยู่ในเงื้อมมือของนายโส เสียงครูอุไรจะดัง ขนาดไหนก็ไม่สามารถปลุกคุณโสให้ตื่นได้ คราวนี้ทั้งครูอุไร คุณหรัญญา
ทุก ๆ คนในรถหันหน้ามาที่คุณแม่จันดี ท่านนั่งนิ่ง “ยกมือทำสัญญาณให้ทุกคนเงียบ” ในรถเงียบสนิท เพราะต่างคนคงทำใจ ไม่รู้ว่าจะเจ็บ หรือตาย
รถยังวิ่งไปไม่หยุด คนขับรถหลับตาสนิท สัปหงกไปมา
รถวิ่งมาสักพักใหญ่มีเสียงร้องดังสนั่นก้อง เหมือนเสียงโห่ ! ร้องรับกัน แต่ที่ได้ยินชัด ตอนคำว่า “โพรง” และมีเสียงรับก้องเป็นทอด ๆ ไป เสียงนี้เองช่วยปลุกคุณโสให้ตื่น
ตาใสแจ๋ว ตื่นจริง ๆ ไม่มีอาการโงกง่วงให้เห็นอีก



จนถึงอนุสาวรีย์ พระนางจามเทวี ครูอุไรขอไปซื้อของก่อนกับคุณหรัญญา ส่วนคุณป้าทั้งสองคนเดินตรงไปที่รูปปั้นพระนางจามเทวี นึกได้หันกลับมา
ถามคุณแม่จันดี “อ้าวไม่ไป กราบหรือ”
คุณแม่ตอบ “พวกเจ้าจะไปก็ไปเถอะจะยืนคอย ” ผู้เขียนจะตามคุณป้าทั้งสอง
เข้าไปขออนุญาต และถามท่านว่า “ทำไมคุณแม่ ไม่ไป” ท่านก็ตอบ
“จะไปทำไม ไปไหว้รูปของตัวเอง ใครจะไหว้ก็สาธุ ไหว้คุณงามความดี”
“แม่มีแต่สลดใจ ในภพชาติของตัวเอง จะเป็นใหญ่แค่ไหน ความทุกข์ที่แบกไว้
ก็พอ ๆ กับตำแหน่ง หน้าที่ที่รับอยู่” สีหน้าท่านขณะพูดดูสลด แต่ดูอีกทีก็แข็งกร้าว
ท่านบอก “ดูสิรอบ ๆ บริเวณรูปปั้นวิญญาณของข้าราชบริพารอีกมากมาย
ยังไม่ได้ไปเกิด ยังคงวนเวียนรักษารูปปั้น” ขณะท่านพูด เกิดลมหมุนขึ้น ! ปั่นป่วนอย่างรุนแรง...คุณป้าทั้ง 2 เอามือตะครุบชายผ้าถุงแทบไม่ทัน และคนอื่น ๆ ที่ใส่กระโปร่ง-ผ้าถุงที่อยู่ในบริเวณนั้นก็ทำเช่นเดียวกัน ไม่งั้นสิ่งที่ไม่อยากให้คนเห็น คงได้โชว์แบบไม่ตั้งใจ คุณป้าทั้งสองบ่นเรื่องลมหมุน ท่านจึงเล่าถึงอดีตของท่านว่า “ครั้งเกิดเป็นพระนางจามเทวี รูปปั้นนี้ไม่เหมือนตัวจริงเท่าไหร่ ตัวจริงสูงกว่านี้ หน้ายาวกว่านี้” พี่สาวท่านพูด “รูปปั้นนี้ก็สวยมากแล้ว” ท่านบอก “ไม่สู้ตัวจริง ตัวจริงสวยกว่ารูปปั้น พวกเจ้าเห็นไหมสิ่งที่โลกเขาตื่นกัน ก็มีแค่นั้น ตื่นในลาภ ในยศ ลูกหลานเกิดมาก็แบบเดียวกัน ไม่ว่ายุคไหนสมัยไหน ก็หลงกันอยู่แค่นี้หละ โอ๋ยสลดในภพชาติที่ผ่านมา ยิ่งเป็นใหญ่ ยิ่งทุกข์ ชาติเป็นพระนางจาม จะเรียกเป็นกษัตริย์ผู้หญิงก็ใช่ จะเรียกนางพญาก็ใช่ เพราะเป็นกษัตริย์ผู้หญิงไม่มีครอบครัว ปกครองบ้านเมือง อะไร ๆ ก็อยู่ในหัวอกหมด”ท่านบอก “แต่ก่อนครั้งเป็นแม่นางจาม พาประชาชน และตัวท่านเองเร่งสร้างบารมีเต็มที่ ทั้งรักษาดินแดน รักษาบ้านเมืองเพราะ เป็นกษัตริย์ผู้หญิง เมืองไหนอยากมาตีเอาเป็นเมืองขึ้น จึงลำบาก ทั้งรับศึก รักษาแผ่นดิน ทั้งเร่งสร้างบารมี แต่ในชาตินี้ก็สมใจแล้ว ย้อนดูภพเก่าหนหลัง จะเกิดทางภาคเหนือ มากกว่าภาคอีสาน ไปที่ไหนผ่านตรงไหน ก็เห็นแต่ซากของตัวเอง ร่องรอยการเกิดตาย ของตัวเอง สลดใจก็แต่ข้าราชบริภารผู้ใหญ่ ที่เคยช่วยท่านมา น่าสงสาร ผ่านไปที่ไหน ขอยกโทษให้ทุก ๆ คน ทำด้วยความไม่รู้ ถ้ารู้คงไม่ทำ โอ๋ยน่าสงสาร เพราะต่างก็เคยมีบุญคุณต่อท่านมา” ท่านบอก “แม่ดีใจที่ได้มาภาคเหนือคราวนี้ เพราะวิญญาณที่คอย ขออภัยโทษมีไม่น้อยดวงจิต บางดวงกรรมไม่มาก พอท่านยกโทษให้พร้อมแผ่ส่วนบุญ รับอนุโมทนา ก็เปลี่ยนภพไปสวรรค์เลยก็มี แต่ที่กรรมหนัก ก็แผ่ส่วนบุญ กลายเป็นกรรมเบาขึ้นก็เยอะ แต่ทุกดวงจิตบอกท่านว่า “รอท่านมาโปรดนานแสนนาน แต่ความสุขที่ได้รับเมื่อเจอท่านที่รอคอยก็แสนสุข แต่ก็แสนทุกข์อีกเมื่อท่านจะจากไป”




เมื่อทุกคนพร้อมกันที่รถ คุณโสคนดี ก็เคลื่อนรถพาไปพระธาตุหริภุญไชย เดินเข้าไปในบริเวณรู้สึกถึงความเยือกเย็น คุณแม่ท่านจะยืนนิ่ง เป็นจุด ๆ ไปพวกเราทุกคนเริ่มรู้ ไม่ไปใกล้ท่าน ไม่พยายามไปรบกวนเหมือนที่ผ่านมา ท่านเข้าไปกราบพระธาตุ สีหน้าท่านดูสลด เคร่งขรึม จนพวกเราต้องอยู่ห่าง ๆ ท่านเอ๋ยปากถามใครได้กลิ่นอะไรไหม ครูอุไรตอบ “คุณแม่หนูได้กลิ่นเหม็นมาก” ท่านบอกแผ่เมตตา บุญกุศลอะไรที่เราทำมา ก็อุทิศให้ทุกดวงจิต ดวงวิญญาณ ขอให้ท่านอนุโมทนาบุญ ได้รับแล้วขอให้มีความสุข ได้เลื่อนภพสูงขึ้นไป” พวกเราทุกคนระลึกตามท่านบอก กลิ่นเหม็นนั้นก็หายไป



กลับออกมาที่รถ คุณโสพาพวกเรามาถึง พระพุทธบาทตากผ้า เป็นเวลาบ่ายวันนั้นแดดจ้า อากาศร้อน รถจอด ครูอุไรอยากไปกราบเจดีย์บนยอดเขา คุณโสไม่ยอมไปบอกว่า “อยู่สูงเกินไปไม่กล้า และไม่ชินทางจ้างรถสองแถวขึ้นไปแทน” ครูอุไรไม่ยอม พูด ๆ
ไปมา จนสุดท้ายคุณโสต้องยอมครูอุไร คุณแม่ไม่ขอขึ้นไปด้วยเพราะท่านเหนื่อย พี่สาวทั้งสองก็อยู่ด้วย รถตู้คุณโสจึงมีผู้โดยสาร 3 คนนั่งไปด้วย การเดินทางจึงเริ่มขึ้นทางสูงชันมีรถสวนลงมา ทางหักโค้งคุณโสไม่ชินทาง นาทีนั้น! รถถอยหลังกรูด ๆ คงมีแต่ครูอุไรคนเดียวร้องบอก “คุณโสทำไมรถถอยหลัง รถถอยหลัง” ส่วนคุณหรัญญานั่งเงียบ ผู้เขียนตกใจมาก! เหตุเกิดไม่มีคุณแม่ รถตกเขาแน่ เราจะรอดไหม เสียงครูอุไรร้อง “คุณแม่ช่วยด้วย ! คุณแม่ คุณโสประคองรถได้รีบเข้าเกียร์ใหม่ รถทะยานพุ่งขึ้นเดินหน้าได้
กว่าจะได้ก็ทำให้จนหัวใจคนในรถจะวาย
พากันไปกราบไหว้พระพุทธบาทตากผ้าแล้ว นั่งรถกลับลงมา
ครูอุไรบอกคุณโส “ค่อย ๆ ขับนะ ค่อย ๆไปลงเขาต้องระวังนะ” คุณโสเฉยไม่รับคำ กลับถึงข้างล่างด้วยความปลอดภัย คุณแม่ท่านนั่งอยู่ใต้ต้นไม้อยู่ไม่ไกลจากรอยพระบาท รีบเข้าไปหาท่าน เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ท่านฟัง ท่านพูดเบา ๆ “นั่นละคุณหรัญญาบอกอะไรก็ไม่ฟัง” เพราะตอนนั้นคุณหรัญญาไปว่าจ้างรถสองแถวที่เขาคุ้นทางมาแล้ว ท่านมองที่ครูอุไร “เอาละคราวนี้ จะได้ฟังเสียงคนอื่นบ้าง” พูดจบท่านบอกผู้เขียน “รินน้ำให้แม่หน่อย แม่หิวน้ำ” รีบยื่นแก้วน้ำให้ท่าน เพราะอากาศตอนบ่ายร้อนมาก ได้ยินเสียงดังแก๊ก ๆ เห็นท่านหยุดดื่ม “เอ๊ะเสียงอะไรดังอยู่ในปาก” ท่านอ้าปากหยิบเจ้าของเสียงออกมา เพราะไปกระทบกับฟันในปากท่านดังแก๊ก ๆ ท่านยื่นใส่มือให้บอกว่า “พระธาตุท่านเสด็จ เอ๊าแม่ให้เจ้า เป็นคนรินน้ำแก้วนี้ให้แม่พระธาตุองค์นี้ สมควรยกให้เจ้าให้ไปกราบไหว้สักการบูชา”



แล้วท่านบอกให้ไปไหว้รอยพระบาท และรอยตากผ้า ของพระพุทธเจ้า ท่านชี้มือบอก
“ไปกราบซะแม่กราบมาแล้วตอนพวกเจ้าขึ้นไปกราบเจดีย์” กลับมาท่านพาเข้าไปกราบทำบุญที่ศาลา กลิ่นเหม็นลอยฟุ้งตาม เหม็นรุนแรงมากจนต้องเอามือปิดจมูก ท่านบอก “อย่าทำยังงั้น แผ่เมตตาให้เขา” พวกเราทุกคน “ให้ขยันภาวนานะ ภพชาติผ่านไป จะเสียดายตามหลัง” เห็นไหมกลิ่นเหม็นที่ตามพวกเรามานั้น ล้วนน่าสงสาร แต่ก่อนก็เคยเป็นมนุษย์เหมือนเรา ด้วยความไม่รู้ ไปเชื่อกิเลส พระพุทธเจ้าท่านสอน ไม่ให้โลภ ก็ไม่เชื่อ พากันโลภ หลงในยศศักดิ์ ยิ่งใหญ่เท่าไหร่ ถ้าไม่มีธรรมในใจ ยิ่งทำความผิดมาก สงสารวิญญาณเหล่านี้ล้วน เคยเป็นใหญ่ เคยเป็นเจ้านายใหญ่โต เป็นข้าราชบริพารก็เยอะ”
รู้สึกเพลิดเพลินเวลาท่านเล่าอดีตให้ฟัง จนมาถึงที่พักแห่งใหม่ ที่จังหวัดเชียงใหม่ บ้านเพื่อนครูอุไร เสียงครูอุไรพูด “คุณโสคุณพักผ่อน อย่าไปเที่ยวนะคืนนี้ พรุ่งนี้จะออกเดินทางแต่เช้า” คุณโสเฉยไม่พูด ไม่รับปาก ครูอุไรพูดซ้ำ และชี้ไปที่พักของคุณโสที่เจ้าของบ้านจัดไว้ให้ ครูอุไรไม่วางใจคุณโส แอบดู เห็นคุณโสรีบเข้าห้องอาบน้ำ ครูอุไรยิ้มดีใจ กลับมาเรียนให้คุณแม่ทราบว่า “คุณโสเตรียมพักแล้ว กินข้าวอาบน้ำแล้ว พรุ่งนี้เดินทางคงปลอดภัย” คืนนั้น...ขณะตี 3 มีเสียงรถจอดอยู่ที่หน้าบ้าน ครูอุไรชะโงกไปดูหน้าต่าง เห็นคุณโสเพิ่งกลับจากเที่ยว ไม่รู้จะทำยังไงได้ทำได้เพียงบ่น จนทุกคนต้องหัวเราะ เพราะหวังจะให้คุณโสประทับใจในอาหารที่จัดให้ จะได้ไม่ต้องออกไปหากินนอกบ้าน เหมือนที่คุณโสอ้าง “แหมเราหรือสู้อุตส่าห์ หาอาหารดี ๆ ให้กินคิดว่าเขาจะได้ไม่ไปกินในเมือง” พูดบ่อยครั้งจน คุณแม่ถามครูอุไร “แล้วได้ถามคุณโสไหมว่า เขาอยากกินอะไร อาหารดี ๆ ของเรา มันใช่ของที่เขาอยากไหม” ครูอุไรงงคุณแม่พูด “อาหารที่จัดให้เขากิน มีแต่ดี ๆ จริง ๆ แล้วถ้าคุณโส เขาอยากกิน ที่ครูอุไร หาให้เขาไม่ได้ เขาก็ต้องไป” ครูอุไรงง “อะไรคุณแม่ คุณแม่รู้เหรอคุณโสเขาอยากกินอะไร” คุณแม่ร้องโอ้ย! เป็นครูเสียเปล่า คุณ


โสเขาอยากอะไรยังไม่รู้ สมกับไม่เคยแต่งงาน” คราวนี้ครูอุไรร้องเสียงดัง! หัวเราะจนตัวงอ บ่นไปพูดไป “ใครจะไปหามาให้ได้ มิน่า เราบอกยังไง ก็เฉย”
เช้าไปเรียกคุณโสตื่น รีบเดินทางต่อไปสามเหลี่ยมทองคำ ออกจากบ้านพักมาไม่นาน คุณแม่ท่านปวดท้องฉี่ คุณหรัญญาบอก “คุณโสหาที่เหมาะ ๆ จอดรถให้คุณแม่ท่านลงฉี่หน่อย ท่านปวดท้องฉี่” คุณโสเฉย เข้าใจว่าคุณโสคงยังไม่เจอที่เหมาะ วิ่งมานานมาก จนครูอุไร ทนไม่ได้จึงบอกอีก “คุณโสนี่ก็นานมากแล้ว ทำไมไม่จอดให้คุณแม่ ท่านปวดท้องฉี่ ผู้เฒ่าไม่เหมือนคนหนุ่มนะ” คุณโสเฉย ไม่พูดเงียบ ทุกคนช่วยกันมองข้างทาง หาที่เหมาะ ๆ ช่วยคุณโส แต่จนแล้วจนเล่า คุณโสขับผ่านไม่สนใจ จนมาถึงบริเวณใกล้สามเหลี่ยมทองคำ คุณโสจอดรถไม่ไกลจากบ้านคนเท่าไหร่ แต่ไม่ใช่อุปสรรค ทุกคนในรถ คุณแม่, คุณป้าทั้งสอง, ครูอุไร และผู้เขียน พากันนั่งลงข้าง ๆ รถ คุณโสทำหน้างง แล้วรีบหันหน้ามองไปทางอื่น ครูอุไร พอปลดทุกข์เรียบร้อย หัวเราะจนตัวงอ ขำในโชคชะตาตัวเอง ที่ได้เดินทางร่วมกับคุณโสผู้เรียบเฉย
คุณแม่จันดีไปยืนริมฝั่งแม่น้ำโขง ตรงสามเหลี่ยมทองคำ ท่านยืนแผ่เมตตาอยู่นาน
ขณะแผ่เมตตาน้ำในแม่น้ำโขงเป็นคูน้ำเหมือนลำตัวพญานาค เป็นคู ๆ เต็มไปหมด



ออกจากสามเหลี่ยมทองคำ จุดหมายคือ วัดอนาลโย ตั้งอยู่บนภูเขา จังหวัดพเยา
แจ้งทางวัด มาขอพักค้างคืน ทางวัดจัดกุฏิใหญ่ให้พัก มองเห็นกว๊านพะเยา
นั่งพักที่หน้าศาลา ท่านพูดถึงเรื่อง “ความถูกต้องตามธรรม” ไม่ทราบว่าเทพเขามากราบฟังธรรมท่านอยู่ ขณะท่านพูดอยู่นั้นผู้เขียน กราบเรียนถามแทรกขึ้นมาด้วยความสงสัยว่า “ถึงผู้หญิงคนหนึ่งที่มาพักภาวนาอยู่กับท่าน สารพัดที่เธอผู้นั้น ทำความผิด ไม่ถูกธรรม ทำไมไม่เห็นท่านว่าอะไรเขา มีแต่เอาใจเขา ถ้าเป็นยังงี้ความยุติธรรมอยู่ที่ไหน จะหาความเป็นธรรม ความถูกต้องได้ที่ไหน (ตอนพูดรู้สึกน้อยใจท่าน) ขณะที่ผู้เขียนพูด เสียงท่านก็ดังพร้อมยกมือห้าม “ขอไว้ก่อนจะค่อยสอนเขาเอง” ท่านพูดจบรีบบอกให้
คนโง่ที่เถียงท่าน “กราบขอโทษเดี๋ยวนี้ เทพเขาไม่ยอมจะหักคอ เทพเขาทนไม่ได้ เห็นเจ้าเถียง ขณะที่พวกเทพกำลังกราบไหว้ท่าน เทพหัวหน้าที่รักษาภูเขาลูกนั้นโกรธมาก บอก “จะสั่งสอนสถานเบา โทษหนักยอมยกให้ แต่โทษเบาเขาไม่ยอม” มาถึงกุฏิที่พักท่านบอกกับทุกคนว่า พรุ่งนี้เทพเขาบอกว่า “จะให้หมากัดคนดื้อรั้น” ทุกคนหันมามองหน้าคนดื้อด้วยความสงสาร ครูอุไรถาม “คุณแม่ ขอไม่ได้เหรอ” ท่านบอก “ขอแล้ว เขาไม่ยอม พรุ่งนี้จะไปครัว เตรียมอาหารถวายพระ หาไม้ถือติดมือไปด้วย หมาจะกัดจริง ๆ ยังไงก็กัด เพราะ






เทพเขาไม่ยอม” ผู้เขียนอ้อนวอนครูอุไร “พรุ่งนี้อย่าให้ไปครัวด้วยเลย รู้แล้วว่าหมาจะกัดตอนไปครัว” ครูอุไรตอบ “พี่ไม่มีเพื่อน ต้องไปเป็นเพื่อนพี่ หาไม้ถือไปด้วย หมามาใกล้ก็ตีมันก่อน พี่จะช่วยเอง” รุ่งขึ้นตี 5 ครูอุไรมาเรียก ขอให้คุณแม่ท่านขอเทพให้อีกก่อนออกไปจากกุฏิ ท่านบอก “ระวังให้ดี หาไม้ติดมือไปให้ได้ เทพเขาบอกยังไงหมาต้องกัดเจ้าแน่นอน” ทั้งอยากร้องไห้ ทั้งกลัว แต่ไม่มีทางเลือก ครูอุไรเร่งรีบเดินตาม ช่วยกันหาไม้กับครูอุไร หาไม่มีไม้แม้แต่ท่อนเดียว เดินจนถึงครัว มีหมาดำตัวหนึ่ง ตรงรี่มา ครูอุไรวิ่งลงไปอีกทาง หมาดำกระโจนเข้ามา ฝังเขี้ยวลงที่ขา และขย้ำ เสียงร้องดังลั่น ! คนหนึ่งร้องเพราะเจ็บปวด ตกใจ คนหนึ่งร้องขอให้คนช่วย หมาตัวนั้นกัดขยี้ จนสาแก่ใจ จึงถอนเขี้ยวออก แล้วเดินหนีไป ครูอุไรรีบวิ่งกลับมาดู เลือดแดงอาบเต็มขา เสียงครูอุไรพูดกับตัวเอง “ต่อไปพี่ต้องระวัง เวลาขึ้นภูเขา ต้องไม่ถียงท่าน” เสียงแม่ชีถาม “เจ็บมากไหม ธรรมดามันไม่เคยกัดคน หมาพวกนี้ฉีดยาประจำดูแลดี ไม่ต้องไปฉีดยานะ” พูดจบท่านหายามาใส่ให้
ความเจ็บทำให้หวนถึงความผิด พูดผิด- คิดผิด-ทำผิด ลืมถึงเรื่องราวที่ท่านเคยเล่าให้ฟังว่า “แม่ต้องใช้กรรม กับผู้หญิงคนนี้ ตอนเขาเดินเข้ามาพักภาวนาอยู่ด้วย แม่นึกถึงความฝันว่าเห็นเขาถือฟืนท่อนใหญ่ มีไฟแดงโร่ มาหาแม่ พอเช้าเธอที่เห็นในฝันเมื่อคืน
ก็มาจริง ๆ” บางครั้งคุณแม่ท่านจะพูดตรง ๆ ว่า
“ถ้าเจ้าคิดว่าเขาไม่มีกรรมกับเจ้า ก็คิดเสียว่าช่วยแม่ใช้กรรมแล้วกัน
เรื่องของกรรม ไม่มีใครหลีกได้ ทำอะไรไว้ต้องใช้ทุกเม็ดดิน ทุกเม็ดทราย
”)
ค่าของมรกต
มรกตเป็นเครื่องประดับสีเขียว งดงามและมีค่าเหมือนหัวใจของหลาย ๆ คนยอมอุทิศตน
เพื่อส่วนรวม หัวใจวีระบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ หัวใจวีระสตรีผู้เสียสละ
คุณความดีของบุคคลเหล่านี้ ช่างมากมาย ยิ่งใหญ่ ยากที่ใครจะคิดว่าพวกเขาจะทำได้
งานบางอย่างอาจเสี่ยงตาย คล้ายจะทิ้งอนาคตอยากให้วีระบุรุษ วีระสตรี
บุคคลเหล่านี้ได้ภูมิใจในทางที่ตัวเองเดิน เพราะเป็นทางของพระอริยะ
ความเสียสละที่แลกด้วยชีวิต ย่อมมีอนาคตที่งดงามที่สุด
ตลอดการเดินทางท่องเที่ยวเกิด - ตาย
นับเป็นความโชคดี ที่เราได้มาพบเจอท่านผู้เลิศเลอเหนือโลก
ผู้เสียสละ
ครูบาอาจารย์ หลายองค์ที่เจ็บป่วย ต้องมีผู้ดูแล ทุกคนที่เข้ามา จากใกล้ ไกลล้วนกระหายธรรม จากครูบาอาจารย์ ภาพที่ทุกคนเห็น และได้สัมผัส คือ
ครูบาอาจารย์ ที่นั่งเรียบร้อย คอยรับบุคคลคณะต่าง ๆ ลูกศิษย์ที่มาให้ธรรม บางครั้งช่วยแก้ปัญหาให้ผู้มาเกี่ยวข้อง กว่าผู้คนมากมายจะจากไปครูอาจารย์ผู้ชราโรคภัยคุกคาม
ไม่เคยแสดงกิริยาอาการให้ผู้คนลูกศิษย์ที่มาเกี่ยวข้องได้เห็นถึงความเจ็บปวด ทรมานของท่าน ท่านคงนั่งฟังเรื่องราวต่าง ๆ มีเสียงหัวเราะ รอยยิ้ม ที่ทุกคนมองแล้วมีความสุข สบายใจ อิ่มเอมหัวใจ ที่ได้พบท่าน พกพาความอิ่มใจกลับไปด้วยรอยยิ้ม บนใบหน้า
ครูบาอาจารย์ผู้ชรา เรียกหาคนช่วยในยามนี้ ท่านมีเพียงศิษย์ใกล้ชิดคอยดูแล โอ้หนอ พระผู้ให้ท่านองอาจ ดั่งพญาเสือโคร่งใหญ่ อาจหาญ สง่างาม ท่าทาง
ที่ทุกคนมองแล้วลืมทุกข์ กังวลใด ๆ ท่านให้ศิษย์ได้จดจำกิริยาท่านเอาไว้ ผู้องอาจ
หาญกล้า มีปัญญาเท่านั้นจึงชนะศัตรูได้ พระผู้ชนะกิเลส ครูบาอาจารย์ผู้ให้ ใครฉลาดรีบตักตวงทรัพย์ภายในที่ท่านยื่นให้ วันหนึ่งไม่มีท่านแล้ว จะโหยไห้ไปขอทรัพย์กับใคร
น้ำตาคงไหลท่วมหัวใจที่อ้างว้าง

ที่พึ่งสุดท้าย
เมื่อบุญกรรม นำพามาได้เจอ
ต้องถามเธอว่าสายไป หรือไมหนอ
ทางที่กอ เก็บเกี่ยว แสนเลี้ยวลด
คงจะหมดศรัทธา ถ้าท่านไกล
สอนธรรมไว้ในใจให้เดินต่อ
สุดจะท้อ ทางลำบาก ยากยิ่งแสน
ถ้าหากเกิดอีกชาติ ได้ทดแทน
บูชาแท่น บัลลังก์ธรรม ท่วมหัวใจ
ในวัยนี้ อยากจะหนี ให้ไกลโลก
ด้วยทุกข์โศก แสนจะทน สุดหม่นไหม้
น้ำตาไหล ใกล้เวลา เข้ามาแล้ว
โอ้ดวงแก้ว คงจากไป ไกลสุดตา
ต่อนี้ไป จะหาใคร ได้ที่เหมือน
ต้องย้ำเตือนในใจไว้เสมอ
ทางที่ท่าน บอกไว้ ไม่ร้างลา
ให้ตามมา ทางเส้นนี้ มีนิพพาน.
เวลาทำสมาธิ

ให้ระลึกลมหายใจเข้าออก

ให้รู้ลมหายใจเข้าออก

หายใจเข้าสั้นก็รู้

หายใจออกสั้นก็รู้

หายใจเข้ายาวก็รู้

หายใจออกยาวก็รู้

ไม่ต้องบังคับลมหายใจ

ตามรู้ลมหายใจเข้าออก

สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้

สงบก็ไม่ยินดี ไม่สงบก็ไม่ยินร้าย

ไม่เอาทั้งสงบและไม่สงบ

เอาแค่รู้ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมปัจจุบันนั้น

ทำอะไรก็ให้รู้เหตุปัจจัย

รู้ไม่ใช่เพื่อ ยินดี ยินร้าย รู้เพื่อให้ รู้เหตุปัจจัย

เหตุแห่งความเจริญ

เคารพ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

เคารพ สิกขา 3 ศีล สมาธิ ปัญญา

เคารพในความไม่ประมาท

เคารพในการปฎิสันฐาน

เคารพใน ศีล

เคารพใน สมาธิ

เคารพในกันและกัน

หลักตัดสิน ธรรมวินัย 8 ประการ

ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด

เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้

เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส

เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย

เป็นไปเพื่อสันโดษ

เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่คณะ

เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร

เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย

ธรรมที่ควรเจริญ

สติ

สัมปัชชัญญะ

ศีล

สมาธิ

ปัญญา

วิมุตติ

วิมุตติญาณทัสสนะ

สัมมาทิฏฐิ เห็นชอบ

สัมมาสังกัปปะ ดำริชอบ

สัมมาวาจา พูดชอบ

สัมมาอาชีโว อาชีพชอบ

สัมมากัมมันโต การงานชอบ

สัมมาวายาโม ความเพียรชอบ

สัมมาสติ ระลึกชอบ

สัมมาสมาธิ ตั้งมั่นชอบ

สัมมาญาณะ ความรู้ชอบ

สัมมาวิมุตติ หลุดพ้นชอบ

สัมมาวิมุตติญาณทัสสนะ ความเห็นในการหลุดพ้นชอบ

สัมมาทิฏฐิ

คือ รู้ชัดซึ่ง เหตุแห่ง กุศล วิชชา เป็น เหตุ

รู้ชัดซึ่ง เหตุแห่ง อกุศล อวิชชา เป็น เหตุ

การบรรลุธรรมอาศัย สติ ปัญญา อุเบกขา เป็นมัทยัทธ์

รักษาสัจจะ เพิ่มพูลจาคะ ไม่ประมาทปัญญา ศึกษาสันติ

การปฎิบัติธรรม

คบสัตบุรุษ ฟังพระสัทธรรม อยู่ในประเทศเหมาะสม ตั้งสัจจะ เดินสัมมาทิฏฐิ เจริญความสงบ

ออกพิจารณาด้านปัญญา + พลังกุศล - บ่มอินทรีย์ นิพพิทา วิราคะ วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ

สติ - ศีล - สมาธิ - ปัญญา - วิมุตติ - วิมุตติญาณทัสสนะ

อัปปมาโณพุทโธ อานุภาพพระพุทธเจ้าไม่มีประมาณ

อัปปมาโณธัมโม อานุภาพพระธรรมไม่มีประมาณ

อัปปมาโณสังโฆ อานุภาพพระสงฆ์ไม่มีประมาณ

เรื่องของสมมติ อวิชชา ตัวตน ยึดตรงไหน หลงที่ไหน ผิดที่นั้น จุดต่อมแห่งภพชาติ

wiweksikkaram.hi5
 
จำนวนผู้ตอบ: 114
สมัครสมาชิก: Mon Mar 15, 2010 12:20 am
ที่อยู่: สุทธาวาสภูมิ

Re: พระพุทธเจ้าเสด็จประทับรอยพระบาทหน้ากุฎิ คุณแม่จันดี

Postโดย wiweksikkaram.hi5 » Sat Jul 03, 2010 11:18 pm

ธรรมะคุณแม่จันดี เมตตา

• ใดใดในโลกล้วนอนิจจัง
• ธรรมเอกหนึ่งไม่มีสอง
• โลกเป็นพิษ ธรรมเป็นยาดับพิษ
• บรมสุขแท้ คือ นิพพาน
• พระพุทธเจ้า พระอรหันต์สาวกองค์สุดท้ายเป็นธรรมดวงเดียวกันเสมอกัน
• พระพุทธเจ้า และพระอรหันต์สาวกทุก ๆ พระองค์สมควรแก่การเคารพกราบไหว้เป็นเนื้อนาบุญของสัตว์โลก องค์พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ และพระสาวกทุก ๆ พระองค์กำจัดแล้วซึ่งอาสวะกิเลส
*** ท่านยังเทศน์ต่อไปอีก…
เทพอนุโมทนา “สาธุพวกข้าพเจ้ากราบขออนุโมทนาสาธุการกับทุก ๆ พระองค์ ขอให้พวกข้าพเจ้าได้ครองธรรมดวงเลิศ ดวงประเสริฐ ทุก ๆ พระองค์ด้วยเทอญ…สาธุ
พวกข้าพเจ้าขอกราบเคารพ ขอกราบบูชาธรรมมาสถิตย์ดวงจิตของพวกข้าพเจ้า ดังทุก ๆ พระองค์ด้วยเทอญ…สาธุ สาธุ สาธุ
กราบขอเคารพกราบขอบูชา กราบอนุโมทนาสาธุการกับทุก ๆ พระองค์”








(วันที่ 14 สิงหาคม 2543 ดูที่เกษาเห็นดวงสว่างเห็นเป็นพระพุทธเจ้า ต่อมาเป็นพระหลวงตาบัว และต่อมาเป็นพระคุณแม่จันดี)
ช่วงที่ 1
• จิต คือ พุทธะ
• ธรรมะ คือ ธรรมชาติ
• น้อมจิตเข้าสู่ธรรม ชำระขาดซึ่งกิเลส
• รสแห่งธรรมชำนะซึ่งรสทั้งปวง
• จิตพุทธะ คือ ที่สุดแห่งธรรม
• สิ้นทุกข์ สิ้นโลก สิ้นธรรม จึงเหนือ
• โอภารส คือ รสแห่งธรรม
• ที่สุด ที่สุด ของที่สุด จึงเรียกว่าเหนือ
• เหนือบันลังก์โลก เหนือบันลังก์ธรรม จึงได้ครอง
• สว่างแท้ คือ ธรรมทั่วไตรโลกาหาที่เปรียบมิได้ผู้ใดได้ครองจึงเป็นทองทั้งแท่ง
• จิต คือ พุทธะ พุทธะ คือ จิต มีอยู่ในทุกตัวสัตว์
• สะพานโลก สะพานธรรม ขาดลงตรงกลางจิต จึงประดิษฐ์พระขึ้นทั้งองค์ ทรงธรรมแท้ จึงเป็นหลักธรรมชาติวิสุทธิจิต วิสุทธิธรรม เลิศล้ำเหนือโลก
• พุทธะ คือ จิต จิต คือ พุทธะ
• พุทธะแท้รวมอยู่ที่ใจ ประเสริฐแท้คือ ธรรมเหนือโลก
“กราบคุณพระพุทธ กราบคุณพระธรรม กราบคุณพระสงฆ์ น้อมนำจิตสถิตย์ที่ดวงใจ ขอให้ธรรมดวงเลิศของทุก ๆ พระองค์จงมาสถิตย์ที่จิตของพวกข้าพเจ้าด้วยเทอญ…สาธุ สาธุ สาธุ”
“พวกข้าพเจ้า ขอน้อมอนุโมทนา สาธุการกับทุก ๆ พระองค์ที่ถึงที่สุดแห่งทุกข์ ที่พ้นการเวียนว่ายตายเกิด วิสุทธิจิต วิสุทธิธรรม สว่างล้ำเหนือโลก เหนือสงสาร ไม่มีประมาณ ข้าพเจ้ากราบขออนุโมทนาสาธุการผู้ได้ครองธรรมทุก ๆ พระองค์ด้วยเทอญ
กราบขอเมตตาบุญญาบารมี จากทุก ๆ พระองค์ ขอให้ข้าพเจ้าได้ทรงธรรมดังทุก ๆ พระองค์ด้วยเทอญ ธรรมดวงวิสุทธิ์ขอจงมาสถิตย์ที่จิตของพวกข้าพเจ้าด้วยเทอญ
วิสุทธิจิต วิสุทธิธรรมของทุก ๆ พระองค์ช่างงามล้ำไม่มีประมาณ พวกข้าพเจ้าขอกราบอนุโมทนาสาธุการกับทุก ๆ พระองค์ผู้ทรงธรรมดวงเลิศ ดวงประเสริฐ สว่างไสวทั่วไตรโลกกด้วยเทอญ…สาธุ สาธุ สาธุ
ขอให้พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ทรงเมตตาสัตว์โลกผู้มืดหนาด้วยเทอญ

ช่วงที่ 2 หลังจากคุณแม่สรงน้ำ
• ไฟ คือ กิเลส ธรรมเปรียบเหมือนน้ำ น้ำธรรมจึงดับได้
• ธรรมแท้จึงเรียกว่าเหนือบริสุทธิ์ สะอาด ดวงเลิศ ประเสริฐแท้ คือ ธรรม
• พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ จนถึงพระสาวกองค์สุดท้าย ได้ครองแล้วซึ่งธรรมดวงเดียวกัน ประเสริฐแท้ เท่ากับเป็นธรรมอันเดียวกันครองหลักธรรมชาติ เวิ้งว้าง สว่างไสว ไม่มีที่เปรียบ ไม่มีประมาณ กำหนดไม่ได้ที่ไปที่มาที่อยู่ที่เป็น ไม่อาจหยั่งได้
• พุทธะแท้ คือทุก ๆ พระองค์ที่ทรงธรรมแห่งความบริสุทธิ์
• แดนแห่งธรรม ช่างงามล้ำ สิ้นกิเลส ทุก ๆ พระองค์ จึงทรงฉุดลากสัตว์โลกผู้มืดหนาพาสู่วิสุทธิจิต วิสุทธิธรรม ดั่งพระองค์ทุก ๆ พระองค์ทรงความเมตตา ไม่มีประมาณ มหาเมตตา มหากรุณา มหาธิคุณต่อสัตว์โลกเหนือความโลภ ความโกรธ ความหลง ทิฎฐิมานะ มีอยู่ประดับโลกทั่วไปทุก ๆ พระองค์ ทรงสละทิ้งไม่ไยดี ก้าวสู่ธรรม สละแล้วซึ่งตัวตน พ้นแล้วซึ่งโลก อาภรณ์ของโลก วัตถุของโลก ทรงแล้วซึ่งธรรม ธรรมแห่งความว่างเปล่าในความว่าง เวิ้งว้าง ว่างเปล่า หลุดพ้นจากโลก จึงเหนือ
• ทุก ๆ พระองค์ทรงเมตตาต่อสัตว์ อยากให้ทุกตัวสัตว์ สละสิ้นซึ่งโลก

สละโลก คือ สละทุกข์
สละสุข คือ สละโลก
สละโลก จึงได้ธรรม
สละธรรม จึงเหนือโลก
เหนือที่สุด ที่สุด ที่สุดของที่สุด ไม่มีประมาณ
*พระจิตของพระคุณแม่จันดีเมตตาต่อศิษย์
• ฝากสานธรรมเข้าที่จิตของศิษย์ทุกคนให้พ้นทุกข์ดั่งพระองค์ ระงมทุกข์ ระงมสุข น้ำตาแห่งทุกข์ น้ำตาแห่งสุข สถิตย์ที่จิตทุกตัวคนหลงวนจึงพ้นไม่ได้
• ธรรมเหนือโลก อยากพ้นโศก จงทิ้งสิ่งรุงรัง นุงนังในจิต พิษแห่งโลก ระงมทุกข์มานับไม่ถ้วนทวนธรรม ทวนโลก เข้าสู่พระนิพพาน สานต่อธรรม น้อมนำสถิตย์ที่จิตหาศิษย์ข้าพระองค์ด้วยเทอญ
• อยากจะบอกต่อศิษย์ ให้ทิ้งจิต ที่เต็มไปด้วยโลก เชิญมาเถอะ มาเสวยสุข สุขแท้ บรมสุขแท้ ให้ได้สัมผัสที่จิต สถิตย์ที่ใจครองไว้ซึ่งธรรม ความบริสุทธิ์ พิสุทธิ์แท้ สว่างล้ำ เลิศโลก เหนือธรรม เหนือ…เหนือไม่มีประมาณ
• แขนสองข้างของพระองค์อยากดึงเหล่าสานุศิษย์ติดไปด้วยพระเมตตา พระกรุณา พระมหาธิคุณ
“ข้าพเจ้าเหล่าศิษย์กราบขออนุโมทนา สาธุการ กราบขอขอบพระคุณในความเมตตาที่ทุก ๆ พระองค์ได้ทรงเมตตาต่อสัตว์โลกผู้มืดหนา ไม่มีประมาณด้วยเทอญ…สาธุ สาธุ สาธุ”
เวลาทำสมาธิ

ให้ระลึกลมหายใจเข้าออก

ให้รู้ลมหายใจเข้าออก

หายใจเข้าสั้นก็รู้

หายใจออกสั้นก็รู้

หายใจเข้ายาวก็รู้

หายใจออกยาวก็รู้

ไม่ต้องบังคับลมหายใจ

ตามรู้ลมหายใจเข้าออก

สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้

สงบก็ไม่ยินดี ไม่สงบก็ไม่ยินร้าย

ไม่เอาทั้งสงบและไม่สงบ

เอาแค่รู้ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมปัจจุบันนั้น

ทำอะไรก็ให้รู้เหตุปัจจัย

รู้ไม่ใช่เพื่อ ยินดี ยินร้าย รู้เพื่อให้ รู้เหตุปัจจัย

เหตุแห่งความเจริญ

เคารพ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

เคารพ สิกขา 3 ศีล สมาธิ ปัญญา

เคารพในความไม่ประมาท

เคารพในการปฎิสันฐาน

เคารพใน ศีล

เคารพใน สมาธิ

เคารพในกันและกัน

หลักตัดสิน ธรรมวินัย 8 ประการ

ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด

เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้

เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส

เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย

เป็นไปเพื่อสันโดษ

เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่คณะ

เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร

เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย

ธรรมที่ควรเจริญ

สติ

สัมปัชชัญญะ

ศีล

สมาธิ

ปัญญา

วิมุตติ

วิมุตติญาณทัสสนะ

สัมมาทิฏฐิ เห็นชอบ

สัมมาสังกัปปะ ดำริชอบ

สัมมาวาจา พูดชอบ

สัมมาอาชีโว อาชีพชอบ

สัมมากัมมันโต การงานชอบ

สัมมาวายาโม ความเพียรชอบ

สัมมาสติ ระลึกชอบ

สัมมาสมาธิ ตั้งมั่นชอบ

สัมมาญาณะ ความรู้ชอบ

สัมมาวิมุตติ หลุดพ้นชอบ

สัมมาวิมุตติญาณทัสสนะ ความเห็นในการหลุดพ้นชอบ

สัมมาทิฏฐิ

คือ รู้ชัดซึ่ง เหตุแห่ง กุศล วิชชา เป็น เหตุ

รู้ชัดซึ่ง เหตุแห่ง อกุศล อวิชชา เป็น เหตุ

การบรรลุธรรมอาศัย สติ ปัญญา อุเบกขา เป็นมัทยัทธ์

รักษาสัจจะ เพิ่มพูลจาคะ ไม่ประมาทปัญญา ศึกษาสันติ

การปฎิบัติธรรม

คบสัตบุรุษ ฟังพระสัทธรรม อยู่ในประเทศเหมาะสม ตั้งสัจจะ เดินสัมมาทิฏฐิ เจริญความสงบ

ออกพิจารณาด้านปัญญา + พลังกุศล - บ่มอินทรีย์ นิพพิทา วิราคะ วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ

สติ - ศีล - สมาธิ - ปัญญา - วิมุตติ - วิมุตติญาณทัสสนะ

อัปปมาโณพุทโธ อานุภาพพระพุทธเจ้าไม่มีประมาณ

อัปปมาโณธัมโม อานุภาพพระธรรมไม่มีประมาณ

อัปปมาโณสังโฆ อานุภาพพระสงฆ์ไม่มีประมาณ

เรื่องของสมมติ อวิชชา ตัวตน ยึดตรงไหน หลงที่ไหน ผิดที่นั้น จุดต่อมแห่งภพชาติ

wiweksikkaram.hi5
 
จำนวนผู้ตอบ: 114
สมัครสมาชิก: Mon Mar 15, 2010 12:20 am
ที่อยู่: สุทธาวาสภูมิ


กลับไปหน้า ธรรมเพื่อชีวิต

ผู้ที่กำลัง online

ผู้ที่กำลังอ่าน forum นี้: สมาชิก ไม่มีสมาชิก และ ผู้เยี่ยมชม 3 คน

cron