สมบัติที่ไม่มีใครแย่งได้ คุณแม่จันดี โลหิตดี

เพื่อสนทนาธรรม และแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เพื่อความเป็นกัลยาณมิตร กัลยาณธรรมที่ดีต่อกัน

สมบัติที่ไม่มีใครแย่งได้ คุณแม่จันดี โลหิตดี

Postโดย wiweksikkaram.hi5 » Sat Jul 03, 2010 11:20 pm

สมบัติที่ไม่มีใครแย่งได้

คำนำ

คณะผู้จัดพิมพ์ ได้เสาะแสวงหาครูบาอาจารย์ที่เป็นผู้หญิงเพศเดียวกัน ได้ทราบแต่ละองค์ท่านได้มรณภาพ ไปแล้ว คงทิ้งไว้แต่อัฐิที่กลายเป็นพระธาตุของท่านให้พวกเราได้แสนเสียดาย
ต่อเมื่อมาพบ คุณแม่จันดี โลหิตดี วัดป่าบ้านตาด โชคดีท่านยังมีชีวิตอยู่ ถึงท่านจะป่วยเป็นหลายโรค หัวใจวาย, โรคไต, โรคเบาหวาน และความดัน อาการท่านน่าเป็นห่วงแต่ท่านก็ยังพอเมตตาสำหรับผู้ใฝ่ธรรม หลังฉันอาหาร ฉันยาท่านได้พักตามแพทย์บอก ช่วงเวลาต่อมาหลังจากนั้น ทำให้พวกเราชาวคณะได้เข้ากราบเยี่ยม นมัสการท่าน ขอคำแนะนำเรื่องการปฏิบัติภาวนา ใครติดขัดปัญหาธรรมก็ได้กราบเรียนถาม ท่านเมตตาเล่าให้ฟังถึงการปฏิบัติของท่าน ต่างคนต่างช่วยกันจำได้คนละเล็ก ละน้อย จึงรวบรวมเป็นหนังสือเล่มเล็กนี้ได้
ด้วยดีใจที่พบท่านก่อนจะสายเกินไป... ผิดพลาดทางคณะขอรับไว้ โปรดให้อภัย

ชาวคณะสวนปฏิบัติธรรมกรรณิการ์ ผู้จัดพิมพ์
หมู่บ้านสัมพันธ์สุขซอย 15 ต.บ้านจั่น
อ.เมือง จ.อุดรธานี 41000


















คุณแม่จันดี โลหิตดี วัดป่าบ้านตาด
ท่านเกิดในครอบครัวเดียวกัน พ่อแม่เดียวกัน พี่น้องเดียวกันกับพระหลวงตามหาบัว
วัดป่าบ้านตาด (รายละเอียดอยู่ในหนังสือ “หยดน้ำบนใบบัว”) มีพี่น้องที่ยังมีชีวิตอยู่จนโต มีพี่ชายทั้งหมด 4 คน และพี่สาว 4 คน และน้องสาว 1 คน ท่านเป็นน้องสาวคนที่ 9 ท่านเป็นน้องสาวคนเดียวที่สละบ้านเรือนออกปฏิบัติ ถือศีล ภาวนา ปัจจุบันที่อยู่ของท่านคือวัดป่าบ้านตาด ท่านเล่าว่า “ในวัยเด็กของท่าน ทุกข์มากกว่าพี่ ๆ น้อง ๆ ทุกคน เหตุที่ทุกข์ เพราะท่านทำตาม คำสอนของพ่อแม่ทุกอย่างปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เช่น พ่อบอกว่า “อย่ากินจุกจิก เวลากินให้กินเป็นเวลา จะหิวขนาดไหน อยากหยิบอะไรกินเหมือนพี่ ๆ ก็ไม่กล้า จึงเป็นความทุกข์อย่างยิ่งของท่าน
ท่านบอกเวลาพ่อไปเอาผึ้งในป่า มักจะชวนท่านไปด้วย ทั้ง ๆ ที่ยังเด็กอายุ 6 – 7 ขวบ (เหตุผลของพ่อคือลูกคนนี้สั่งยังไงได้ยังงั้น และมันไม่กลัว) ท่านบอกเวลาเข้าป่าพ่อจะบอกเส้นทางไว้ว่าทางเส้นนี้ไปไหน เส้นนี้กลับบ้าน พ่อบอกไว้เผื่อพ่อตกต้นไม้ตายเวลาปีนขึ้นไปเอาผึ้ง พ่อจะสอนให้ระวังเสือ เวลากลางวันจะมีแต่เสือดาว เสือเหลืองที่คอยจะจับกินหมามากับคนเสือพวกนี้เขาจะไม่ทำอันตรายคน
พ่อพาไปเก็บหมากแน่ง (เป็นสมุนไพรชนิดหนึ่งที่ประเทศญี่ปุ่นเขามารับซื้อไปทำยา)
พ่อจะสอนวิธีเก็บ ให้ระวังรังแตน ให้ค่อย ๆ เก็บลูกสีแดงที่สุก ถึงมีรังแตนเขาก็ไม่แตกรังออกมาต่อยเรา เวลาเจอขอนไม้ก็ให้สังเกตงูจะชอบซ่อนตัวอยู่ข้างขอนไม้ ท่านจะสอน “ให้หัดดูกิ่งไม้ว่ากิ่งนี้ชี้ไปทางไหน ทิศใต้ - ทิศเหนือให้จำไว้ ออก – ตก จะได้ไม่หลงทาง” พ่อเป็นนายพรานจึงละเอียดรอบคอบในการเดินป่า ระมัดระวังภัย

เป็นเด็กแสนรู้

ตอนอายุ 3 ขวบ มารดาท่านเล่าให้ฟัง เอาลูกนั่งในตะกร้า อีกข้างเป็นกล่องข้าวเหนียว หาบไปที่นา ที่ทุกคนในครอบครัวทำนาคอยอยู่ เวลาเจอดอกเห็ดข้างทางที่ผ่านลูกน้อยนั่งในตะกร้าจะร้องบอกแม่ “นั่นเห็ดดอกหนึ่ง ๆ” เป็นระยะ ๆ ๆ กว่าจะถึงที่นาก็ได้เห็ดทำอาหาร มารดาท่านเล่าว่า “เป็นลูกเล็ก แต่มีความรู้ ช่างคิด ช่างจดจำ และมีนิสัยเหมือนผู้ใหญ่”







ไม่กลัวผี

ตอนเด็กพวกพี่ ๆ ไม่ว่าหญิงชายจะกลัวผี มักจะชวนท่านไปเป็นเพื่อนเวลาไปนา ไปป่า ให้ท่านซึ่งเป็นน้องเดินตามหลัง พวกพี่ ๆ จะถูกแม่ว่าเป็นประจำ “ทำไมให้น้องตัวเล็ก ๆ เดินตามหลัง เดี๋ยวเสือจะตะครุบเอาน้องไปกิน” พวกพี่ ๆ จะแก้ตัวตามแต่ปัญญาของแต่ละคน
ส่วนพี่ ๆ ผู้หญิง เวลาดุว่าน้อง(ท่าน) ก็จะงัดไม้เด็ดมาขู่ “ระวังนะกลางคืน กูจะไม่ไปไหน ๆ เป็นเพื่อน” เพราะรู้จุดอ่อนพวกพี่ ๆ กลัวผี ตอนกลางคืนต้องอาศัยท่าน

เป็นเด็กเรียนเก่ง

ตอนเป็นเด็กเรียนอยู่ชั้นประถม จะมีความรู้แปลก ๆ อยู่กลางอก ก่อนจะบ่งบอกอะไร ตรงกลางอกจะมีเหมือนพัดลมน้อย (หมุนติ้ว ๆ) แล้วส่งความรู้ออกมา เช่นมีอยู่ครั้งหนึ่ง สมัยนั้นเดือนมกราคม
ครูจะพาอ่าน “มุก-กะ-รา-คม” ขณะครูกำลังอ่าน พัดลมน้อยก็หมุนขึ้นในจิต แล้วมีเสียงดังขึ้นบอกว่า
“จะอ่านให้ถูกต้อง ! ต้องอ่านว่า มะ-กะ-รา-คม”
เป็นอะไรที่แปลกสำหรับเด็ก เคยคิดว่าคนอื่นคงเป็นเหมือนกัน จึงค่อยเรียบเคียงถามมารดาว่า “เป็นเหมือนกันไหม” มารดาตอบ “ไม่เคยเป็น” แล้วถามต่อว่า “เป็นหมุนอยู่ตรงไหน” จึงชี้ที่กลางอก
วันหนึ่งแม่ค้าหาบตะกร้าเครื่องประดับมีกำไล สีสันสดใส มาขาย พวกพี่สาวรวมทั้งท่านอยากได้ร้องขอให้มารดาช่วยซื้อให้ ในหาบมีเครื่องประดับของเด็ก – ผู้ใหญ่ อยู่เต็ม เสียงลูกหญิงร้องอ้อนวอน มารดาตกลงให้ซื้อได้คนละ 1 ชิ้น พวกพี่ ๆ หยิบไปหมดทุกคน ถึงคิวท่านเดินไปจะหยิบ พัดลมน้อยกลางอกหมุนติ้ว ๆ อีก บอกขึ้นว่า “ของประดับโลก ! ไม่ใช่ทางพ้นทุกข์” พอเสียงดังจบลง ท่านเดินหนีทันที เสียงมารดาร้องตาม “อ้าว... มึงอยากได้ทำไม ไม่เอา”
ท่านบอก ถ้ามีอะไรบ่งบอกขึ้นในจิตท่านเคยคิดจะฝืน แต่ฝืนไม่ได้ มีอำนาจมาก(สะเทือนในจิต) ฝืนไม่ได้สักครั้งเดียว เป็นเด็กตั้งใจเรียน ช่างจำ เรียนเก่ง จนครูให้ช่วยสอนเพื่อน ๆ ในห้องเป็นบางครั้ง
หลายครั้ง ในห้องเรียนท่านขออนุญาตครูกลับบ้านก่อนเวลา ครูถาม “เธอมีธุระอะไรที่บ้าน” ตอบครูว่า “ดิฉันเข้าใจ-จำได้หมดแล้วไม่อยากเรียนบทเรียนเก่าอีก ครูเข้าใจ และอธิบายให้ฟัง “ไม่ได้เธอจะกลับบ้านตอนนี้ไม่ได้ ถึงเธอเข้าใจ แต่เพื่อน ๆ ยังไม่เข้าใจ เธอต้องเห็นใจเขา เอายังงี้ครูจะให้เธอช่วยสอนเพื่อน ๆ เพราะครูสมัยนั้นน้อย ครู 1 คนต้องสอนหลาย ๆ ชั้น หลาย ๆ วิชาในแต่ละวัน
พอจบชั้นประถม 4 ครูมาขอให้เรียนต่อ จะส่งเรียน พ่อ-แม่-พี่ชาย ดีใจสนับสนุนให้เรียน
ท่านตอบปฏิเสธทุก ๆ คนว่าไม่เรียน เพราะกลางอกหมุนและบอก “เรียนไปก็ไม่จบ เรื่องของโลก! เรียนเท่าไหร่ไม่มีวันจบ” ท่านจะฝืนได้ยังไง เป็นอะไรที่ฝืนไม่ได้จริง ๆ (ท่านบอกฝืนไม่ได้)

ภาวนาครั้งแรก

สมัยท่านยังเป็นเด็ก อายุประมาณ 10 กว่าขวบ ท่านได้ตามมารดาไปถวายจังหัน พระหลวงตา (พระพี่ชาย) ช่วงนั้นเป็นเป็นช่วงที่พระหลวงตามาแวะพักที่ทุ่งนาใกล้หมู่บ้าน (มาโปรดโยมมารดา)
ในวันนั้น ท่านเป็นลูกคนเดียวที่แม่ให้ตามไปถวายจังหันด้วย หลังฉันจังหันพระหลวงตาสอนโยมมารดาวิธีปฏิบัติภาวนา ถึงเป็นเด็กแต่ก็ฟังรู้เรื่อง ในขณะที่ฟังจิตท่านจะสงบแต่รั้งไว้เพราะอยากฟังคำแนะนำให้จบ กลับมาบ้านในคืนนั้นท่านจำเอาวิธีการภาวนา และลองนั่งภาวนาท่านปฏิบัติตามที่พระหลวงตาบอกโยมมารดา ประมาณ 3 นาที จิตสงบรวมลง เห็นร่างกายเน่าเปื่อยสลายกลายเป็นดิน ท่านบอกคืนนั้นจิตสงบจนถึงสว่าง ตอนสงบอยู่จิตท่านคำนึงว่าทำยังไง ถ้าจิตไม่ถอนจะทำยังไง ถึงเวลาตำข้าวจะทำยังไง แต่ท่านบอกเหมือนจิตรู้ พอถึงเวลา จิตถอนได้เวลาตำข้าวพอดี
พระหลวงตาได้ฟังโยมมารดาเล่าเรื่องที่ท่านภาวนากราบเรียน จบลง พระหลวงตาถามว่า “จันดี ตัวน้อย ๆ ๆ นั่นหรือภาวนา มารดาตอบว่า “ใช่ จันดีนี้แหละ” พระหลวงตาบอกกับแม่ท่านว่า
“เขามีของเก่าของเขา เขามีของเก่ามา”



ชีวิตครองเรือน

เป็นสาวรุ่น ขอมารดาออกบวชเป็นแม่ชี มารดาตอบว่า “ลูกเป็นผู้หญิง จะบวชยังไง ไม่ใช่ผู้ชาย ตามธรรมดาผู้หญิงเขาไม่บวชหรอก ไม่เคยเห็น ให้หยุดคิดนะ” (มารดาเป็นห่วงสมัยนั้นไม่ค่อยมีผู้หญิงบวช แม่ชีมีน้อยมาก แถวบ้านท่านไม่ค่อยมี)

ตอนท่านเป็นสาวมีชายหนุ่มมาจีบเยอะมาก แต่ท่านไม่ได้สนใจใครเลย(เพราะจิตบ่งบอกแต่เรื่องหาทางออกจากโลกหาทางพ้นทุกข์) แต่พี่ชายแนะนำ ผู้ชายที่พี่เลือกแล้วว่าดีที่สุด นิสัยดี มีศีลธรรม ใจไม่อยากแต่งคิดแต่จะตั้งใจปฏิบัติ ถือศีล ภาวนา เพราะทุกครั้งที่จิตบ่งบอกความจริง จิตยิ่งกลัวเรื่องของโลก แต่พอแม่พี่ชายถาม ปฏิเสธไปหลายครั้ง ทั้ง ๆ ที่จิตบ่งบอกเสียงดังขึ้น “จะเรียนรู้เรื่องของโลกให้หมด”
ในระยะที่ครองเรือน ยังตั้งใจถือศีลในวันพระถือศีล 8 ถ้าวันปกติถือศีล 5 อย่างเคร่งครัด ไม่เคยฆ่าสัตว์ พี่ชายเคยบอก “จันดีมันไม่เคยฆ่าสัตว์ ไม่ต้องให้มันกินเนื้อสัตว์ด้วย” จึงได้แต่กินหน่อไม้
ผักหญ้า ถ้าพี่ชายเคี่ยวเข็ญให้ฆ่าสัตว์ “จะร้องไห้ไม่ยอมกินข้าวก็ได้ ขออย่าให้ฆ่าสัตว์เลย” เรื่องนี้ สามีญาติพี่น้องรู้ดี “ยอมอดแต่ไม่ยอมฆ่า ผู้อื่น ชีวิตอื่น” บอกกับตัวเองว่า “กินอะไรก็ได้ ใจสงสาร ไม่สามารถทำลายชีวิตผู้อื่นได้” มันเป็นอยู่ในใจ เป็นมาแต่เด็กจำความได้ จะไม่ยอมฆ่าสัตว์ ทำลายชีวิตผู้อื่น
ชีวิตครองเรือน มีบุตร 4 คน ชาย 1 หญิง 3 แต่ในใจยังคงมั่นคงต่อการภาวนาไม่เคยทิ้ง
ยิ่งพระหลวงตามาตั้งวัดป่าบ้านตาด ยิ่งได้กำลังใจปฏิบัติภาวนา ติดขัดอะไรก็กราบเรียนท่านตอนท่านเข้ามารับบิณฑบาตรในหมู่บ้าน

แม่จิตรวม...ลูกน้อยขอนม

วันพระขอสามีให้ช่วยดูลูก คืนนั้นคุณแม่ก็นั่งภาวนาจิตก็สงบ...ขณะจิตรวม... เสียงลูกน้อยตื่นร้องจ้า แต่จิตยังไม่ถอน...จึงไม่สามารถดูลูกน้อยในอู่ (เปล) ได้ ลูกน้อยร้องอยู่สักพัก สามีท่านคงเห็นผิดสังเกต จึงเข้ามาดู และอุ้มลูกน้อยออกไปจากห้องเอาน้ำหยอดปากให้ลูกน้อยได้กินก่อน...รอแม่
ชีวิตท่านลำบาก ทั้งอยากทำบุญถวายจังหันพระ ตัวเองก็ไม่ฆ่าสัตว์ จึงต้องพยายามหาหน่อไม้ ผัก พืช ชนิดต่าง ๆ มาทำกับข้าวใส่บาตรพระให้ครบ หลายครั้งที่แม่ท่านเล่าให้ฟังว่าพระหลวงตา พูดกับแม่ท่านว่า “เมื่อเช้าฉันหมกหน่อไม้ ใครก็ไม่รู้ใส่บาตรห่อใหญ่มากเหมือนอาหารทิพย์ และพระก็ได้ครบทุกองค์” สมัยนั้นมีพระมาอยู่วัดป่าบ้านตาดประมาณ 14 – 15 องค์) แม่ท่านถามเมื่อเช้าพระหลวงตาพูดถึงหมกหน่อไม้ ไม่รู้ของใคร...? ท่านบอก “ของท่านเอง”

จิตรวม...ขณะเคี้ยวข้าว

อาชีพชาวนาในอดีต..สมัยก่อนยังไม่มีเทคโนโลยี จึงเป็นงานที่หนัก...ลำบาก...ต้องอดทน ส่วนใหญ่ก็ต้องอยู่ที่ที่นา...จนท่านต้องสร้างทางจงกรมไว้...แต่เวลาในการภาวนามีน้อยอาศัยทำนาไปด้วยภาวนาไปด้วยตลอด มีครั้งหนึ่งคุณแม่ชีแก้ว ไปเยี่ยมท่านที่นา เห็นทางจงกรมมีรอยเดินจนทางเป็นร่องเป็นมัน จนท่านได้พูดว่า “จันดีเจ้าอยู่ไหน ก็มีเครื่องหมายของพระพุทธเจ้าอยู่ทุกที่ มิน่าข้าวของเจ้าถึงได้มากกว่าผู้อื่น”
มีอยู่วันหนึ่งเวลาเที่ยง...ขณะที่เกี่ยวข้าวท่านพิจารณาธรรมไปด้วย...จิตสงบ สว่างไสว ท่านก็ประคองจิตไป...ค่อย ๆ เกี่ยวข้าวไม่ยอมหยุด...ไม่กินข้าว...เกี่ยวข้าวไป...จนจิตถอน
ท่านเคยตกลงขอร้องพูดให้สามีเข้าใจว่าเวลาท่านจิตสงบ อย่าเรียก...จะทำอะไรก็ทำไปเลยปล่อยท่านเลย...โชคดีสามีเคยบวชจึงเข้าใจง่าย ท่านจะพูดกับสามีเสมอว่าชาตินี้จะขอปฏิบัติภาวนา...
และบอกสามีว่า “อย่านอนใจในอัตภาพของภพชาติ…”
ความพากเพียร ตั้งใจของท่าน...สามียอมใจอ่อน เพราะเห็นความตั้งใจจริง ขึ้นจากทำนาจะดึกดื่น แค่ไหนก็ช่าง ท่านจะเดินจงกรมจนดึก...




เจอ...ผีใหญ่ ! ... จะให้สมบัติ...

มีผีใหญ่ตนหนึ่งมาเข้าสิงญาติท่าน...บอกว่า “ชาติก่อนเคยเป็นคนรวย มีคอกม้าด้วยความเป็นห่วงสมบัติ ตายแล้วจึงมาเฝ้ารักษา เป็นทุกข์มาก อยากไปเกิดมาขอร้องให้ท่านช่วย จะยกสมบัติที่เฝ้าอยู่ให้ ขอให้นำเงินของเขามาทำบุญกับพระหลวงตาให้ เขาจะได้ไปผุดไปเกิด” ท่านและญาติ ๆ มากราบเรียนพระหลวงตา ท่านบอก “ถ้าจะไป ไม่มีจันดีห้ามไปนะ จะไปต้องมีจันดีไปด้วย” ญาติ ๆ ทุกคนทำตามคำสั่งของพระหลวงตา... ก็พากันไปขุดตามผีใหญ่บอกตำแหน่ง ขุดลงไปก็เจอไหจริง และมีเงินอยู่เต็มไห หลายไห พอจะให้ ผีใหญ่กลับเปลี่ยนใจ บอกยังมีกรรมมากอยู่ รู้สึกเสียดายเงิน ไม่กล้าปล่อย ขอชดใช้กรรมต่ออยู่เฝ้าสมบัติต่อไป...ไหที่ขุดเจอ พอผีไม่ยอมให้...ไหหมุนหายลงไปในดินเหมือนเดิม...ผีใหญ่สารภาพกับคุณแม่ว่า “จะให้ใจก็เกิดหวงแหนในเงิน ในทรัพย์ มันตัดไม่ได้ รู้อยู่ว่าทุกข์แสนทุกข์ แต่ก็ตัดใจไม่ได้ และขอให้ท่านช่วยแผ่เมตตา ส่งบุญกุศลมาถึงด้วยเพราะเวลาได้รับมีความสุขมาก...

พระหลวงตาให้อุบาย

เช้าวันนั้น พระหลวงตาไปรับบิณฑบาตรในหมู่บ้านท่านถาม “ภาวนาเป็นยังไง”
คุณแม่กราบเรียนว่า “ฝันแปลกมาก ฝันว่าพระหลวงปู่มั่นชวนให้ไปกับท่าน แต่ในฝันเป็นห่วงลูกคนเล็ก จึงขอไปดูลูกก่อนจะตามไปทีหลัง” พระหลวงตาให้อุบาย “เอ้า ให้มึงคิดตัดสินใจเอา ถ้าห่วงลูก ก็ตามพระหลวงปู่มั่นไปไม่ได้” คำพูดของพระหลวงตา ทำให้ท่านคิด และตัดสินใจได้เร็วขึ้น ถามตัวเองว่า พระหลวงปู่มั่นมาโปรดแท้ ๆ คนแปลความฝันก็เป็นพระหลวงตา เราติดคาอะไร (ห่วงอะไร-อาลัยอะไร)
ตอนแรกตั้งใจว่าลูกโตอีกหน่อย แต่ถึงตอนนี้เหมือนพระหลวงตาช่วยเร่ง จึงตัดสินใจ ขออนุญาตสามี-ลูก ๆ ทุกคน ออกมาปฏิบัติถือศีลภาวนาอยู่วัดป่าบ้านตาด ก่อนหน้านี้ท่านขอให้มารดา
ขออนุญาตพระหลวงตามาพักปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัด พระหลวงตาบอกอนุญาตมาอยู่ได้ แต่ไม่ให้บวช เพราะแต่นี้ไปท่านจะไม่รับแม่ชีมีเฉพาะแม่ชีน้อมที่เคยปรนนิบัติดูแลมารดาท่าน ท่านจะไม่รับแม่ชีอีก ด้วยเหตุนี้เอง คุณแม่จันดี จึงไม่ได้บวช
เริ่มชีวิตในวัดป่าบ้านตาด พ.ศ. 2524 กระท่อมน้อย ที่อยู่ในป่าทึบท่ามกลางต้นไม้ใหญ่ยืนต้น เป็นเงาร่มครึ้ม พื้นเบื้องล่างเต็มไปด้วยต้นข้าวสาร หนาแน่น ท่านถือศีล 8 อย่างเคร่งครัด ท่านบอก
“ท่านบวชใจแทน ศีล คือใจที่มีเจตนางดเว้นการทำความผิด เมื่อใจมีเจตนางดเว้นการทำความผิด เมื่อใจมีเจตนาทำความถูกต้อง ศีลเป็นอันเดียวกับใจ ใจรักษาศีล ดูศีลดูใจตัวเอง ศีลเป็นใจที่มีเจตนางดเว้นการทำความชั่วทั้งปวง ดูศีลดูใจสำรวจความผิดที่เกิดจากใจของตัวเองแล้วอบอุ่น หนักแน่น มั่นคง มั่นใจ ไม่มีที่ต้องติตัวเองเรื่องศีล”
ช่วงเข้ามาปฏิบัติภาวนา ท่านได้ดูแลคุณยายชีน้อม ตอบแทนคุณ ที่คุณยายเคยดูแลปรนนิบัติมารดาท่าน คุณยายแก่ตามองไม่ค่อยเห็น ท่านจึงเหมือนเป็นตาให้คุณยาย สมัยก่อนท่านปราดเปรียวว่องไวมากทั้งดูแลคุณยาย ทั้งทำกับข้าวที่ครัว ทำกิจวัตร ดูแลสถานที่ปฏิบัติฝ่ายผู้หญิง น้ำก็ใช้น้ำบาดาล ดูแลต้นไม้ กุฎิฝ่ายหญิง เพราะปลวกเยอะมากต้องคอยดูแล ท่านบอกท่านไม่เคยถูกพระหลวงตาตำหนิ ไม่ว่าเรื่องการงานหรือภาวนา

ติดสมาธิ

ท่านบอกระมัดระวัง ใคร่ครวญ พิจารณา ไตร่ตรองทุกอย่างที่เกิดขึ้น ก่อนจะกราบเรียนถามพระหลวงตา ถ้าท่านตอบตรงกับที่ท่านพิจารณา ก็จะได้กำลังใจ
มีครั้งหนึ่ง พระหลวงตาถาม กราบเรียนท่านว่า “ตอนนี้จิตสบาย เห็นตัวเองเหาะลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า มีรัศมีพุ่งกระจาย เป็นดอกไม้โปรยปราย เต็มฟ้าไปหมด สวยงามมาก ตัวข้าน้อยเอง ก็สวยงามมากไม่เหมือนตัวจริงตอนนั้นเลย” พูดจบพระหลวงตา ร้องขึ้นเสียงดัง ! “นั้นแหละจิตติดสมาธิ ระวังรัศมีจะเป็นรัศหมา ท่านสั่งห้ามเด็ดขาด ไม่ให้ส่งจิตออกไปอีก”

จิตลงสู่ไตรลักษณ์

หลังจากพระหลวงตาสั่งไม่ให้ส่งจิตไปไหนอีก 1 ปีที่ท่านไม่ส่งจิตไปไหน พิจารณาค้นคว้าในร่างกายตลอด ไม่ว่าจะทำอะไรงานนี้ไม่ปล่อย
วันหนึ่งขณะเดินจงกรมอยู่ ท่านบอกกำลังกำหนดดึงหนังลงมาถึงช่วงคอ ปรากฏว่า เนื้อในกายท่านเน่าเฟะ ไหลเละลงพื้นดินทั้งหมด คงเหลือติดกระดูกบ้าง ห้อยติดอยู่กับโครงกระดูก มองเห็นด้วยตาเนื้อ ค่อย ๆ ประคองโครงกระดูกมานั่งลงที่แคร่จิตเบื่อหน่ายในความจริงของร่างกายที่ปรากฏให้เห็นตามความเป็นจริง นั่งอยู่นานก็ยังเป็นโครงกระดูกมีชิ้นเนื้อเน่าเฟะห้อยติด จึงประคองตัวเองเดินออกทางจงกรมในป่า เดินออกมาเพื่ออยากพิสูจน์ดูว่าคนอื่นเขาจะเห็นในสภาพที่ท่านเห็นหรือเปล่า พอดีมีผู้หญิงคนหนึ่งที่มาพักภาวนาเขาเดินผ่านมา เขามองมาที่ท่าน แล้วมองผ่านไปเหมือนปกติ จึงรู้ว่าที่เห็นอย่างนี้ เราเห็นเพียงคนเดียว จึงค่อย ๆ นำโครงกระดูกเนื้อเน่าเฟะเดินกลับเข้าไปป่าทางจงกรม – แคร่ พิจารณา ความไม่เที่ยงของอัตภาพก้อนธาตุ ก้อนหลง ยุติความหลงในรูปกาย เบื่อหน่าย คลายความยึด ในรูป จิตบอกขึ้นว่า “จิตลงสู่ไตรลักษณ์” จากนั้นลองพิจารณากายอีก จิตไม่ยอม จิตบอก “เข้าใจหมดแล้ว วางแล้ว” ท่านบอก ไม่ว่าสภาวธรรมอะไรเกิดขึ้น ท่านจะใคร่ครวญพิจารณาจนแน่ใจจึงลงใจ ไม่เคยปล่อยอะไรไปง่าย ต้องเอาให้แน่ใจ



ความขี้เกียจหมด...ไม่มีความขี้เกียจ

แต่ก่อนภาวนาต้องต่อสู้ ต้องฝืนความขี้เกียจ พอจิตรู้เห็นตามเป็นจริงของรูปกาย วางกาย
ย่างเข้าจิต ความเกียจคร้านหายหน้าไป กลายเป็นความขยัน หมั่นเพียร เข้ามาแทนที่
ท่านบอกภาวนาไป ๆ นึกเอาเองว่าคงจะสบายไม่หนักเหมือนที่ผ่านมา แต่ที่ไหนได้ ยิ่งทำไปยิ่งทุกข์ เพราะเห็นภัย แต่ก่อนไม่รู้อะไรก็อยู่ไปอีกแบบหนึ่ง ที่ผ่านมาว่าทุกข์ที่สุดแล้ว ขยันหมั่นเพียรอดทนที่สุด แต่พอเห็นโทษ-เห็นคุณชัดเจน ไม่สนใจเรื่องกิน เรื่องนอน มีแต่อยากเร่งหนีภัย อยากพ้นมหันตทุกข์ มหันตภัย แต่ก่อนไม่เห็นไม่รู้ยังพอหัวเราะ เบิกบานได้บ้าง

เร่งความเพียร

ท่านบอกความเพียรกล้า แต่ร่างกายไม่ไหว บางครั้งโรคหัวใจกำเริบ ครั้งยังครองเรือนเจอความทุกข์บีบคั้น การทำงานรีบเร่งขนขวายหาสมบัติไว้ให้ลูก เวลาที่จะพักผ่อนก็น้อย ทั้งงานทางโลก แต่ไม่ทิ้งภาวนา จึงทุกข์กว่าใครเพื่อน พอเร่งความเพียร ท่านบอกพิจารณาธรรมไม่ยอมหลับ-นอน จนต้องกินยานอนหลับอ่อน ๆ ช่วยให้หลับสัก 2-3 ชั่วโมง(จำเป็นต้องนอนพักผ่อนบ้างเดี๋ยวจะล้มก่อนช่วงเร่งความเพียรเพราะมีโรคเก่า) ถ้างั้นมันไม่หลับนะ ท่านบอกพิจารณาอะไรค้างไว้ พอตื่น มันต่อทันที

พระหลวงตาบอกล่วงหน้า

พระหลวงตาเมตตาแนะนำจี้สอนตลอดการแนะของพระหลวงตา ท่านจะเคยพูดบอกเป็นการชี้นำ คุณแม่บอกส่วนมากท่านแนะจะขังข้อไว้เสมอ (สอนบอกไม่หมด) ให้ลูกศิษย์ได้ใช้ปัญญาพิจารณาเองถ้ามีแต่คอยฟังจากท่านอย่างเดียวจะไม่เกิดปัญญา
ครั้งหนึ่งท่านถามจิตเป็นไง ได้กราบเรียนท่านว่า “จิตตอนนี้ เกิด-ดับ เร็วมากเหมือนฟ้าแลบ จิตกล้ามาก ไม่กลัวตาย พระหลวงตาร้องขึ้น “โอ้! เร่งเลย ๆ ๆ อีกไม่นาน ๆ เดี๋ยวก็เจอ จิตว่าง” ท่านบอก ท่านงงมาก ได้แต่คิดในใจเอ๊ะตอนนี้ จิตเราก็ว่าง อยู่แล้ว ยังจะมีว่างอีกเหรอ ทำไมพระหลวงตาบอกเดี๋ยวจะเจอจิตว่างอีก ตั้งแต่ท่านสอนเรามา พระหลวงตาไม่เคยบอกว่าจะเจออะไรล่วงหน้า แต่คราวนี้ทำไม ท่านหลุดปากออกมา เอาละถ้าพระหลวงตาพูดแล้ว หนึ่งไม่มีสอง



เจอจิตว่าง

พระหลวงตาบอกเดี๋ยวเจอก็เจอจิตว่าง พิจารณาจ่อดูจิตที่ว่างคงจะมีว่างอีกเราต้องพิจารณา จึงพิจารณาจิตที่ว่างที่เป็นอยู่ในจิต แล้วก็เจอว่างที่พระหลวงตาพูดถึง ในคืนวันที่ 29 สิงหาคม 2535 เวลา
5 ทุ่ม บอกขึ้นในจิต(ข้อธรรมที่ผุดขึ้นในจิต) “ขณะนั้น อายะตะนะนั้นมีอยู่ แต่ไม่มีดิน-น้ำ-ไฟ-ลม
ไม่มีจุติเคลื่อน ไม่มีที่ไป ไม่มีที่มา ไม่มีอารมณ์ ไม่มีอารมณ์ นั้นแหละคือที่สุดแห่งทุกข์” ท่านบอกจิตตอนนั้นจ่อเฉย ๆ เหมือนไม่พิจารณาอะไร เสียงต้นไม้ใหญ่แห้งตายอยู่ข้างกุฏิท่านมานาน(ต้นขนุนใหญ่) เสียงดังลั่นเพราะลมแรง ท่านคิดคงหักทับกุฏิ และ ท่านก็คงตายพร้อม ๆ กัน อวิชชาขาดกระเด็นออกจากจิตขณะนั้นรู้ว่าอวิชชาเหนียวแน่นมากพร้อมกับก้นของท่านลอยขึ้นจากพื้นที่นั่ง สูง 1 ศอก โลกธาตุหวั่นไหว แผ่นดินสะเทือน เสียงดังทึก ๆ ๆ แผ่นฟ้าม้วนกลับลงมา พันกันกับแผ่นดิน ม้วนรวมกันแล้วจึงแยกออกจากกัน โลกธาตุหวั่นไหว พร้อมกับเสียงอนุโมทนาสาธุการ จากสวรรค์ทุก ๆ ชั้น, ชั้นพรหมทุก ๆ ชั้น ลงถึงพื้นบาดาล ขวาซ้ายสถานกลาง ร่วมอนุโมทนา สาธุการ เสียงปี่พาทย์ บรรเลง ขับกล่อม กระหึ่มก้อง เสียงประกาศก้องขึ้นที่จิต “ว่าง – วาง จิตพุทธะ > จิตบริสุทธิ > จิตเป็นธรรมชาติ (ขณะที่อวิชชาขาดออกจากจิต พระพุทธเจ้า และพระอรหันต์สาวกทุก ๆ พระองค์ โดยเฉพาะพระหลวงตาได้ช่วยหนุนจิตท่านทุก ๆ พระองค์ ทุก ๆ อย่างที่เกิดขึ้น เกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน ไม่มีอะไรก่อน ไม่มีอะไรหลัง แต่การเล่า จำเป็นต้องเรียงถ้อยคำเพื่อคนฟังจะได้รู้เรื่องเข้าใจ มีอะไรอีกมากที่ท่านบอกไม่สามารถ พูดให้ฟังได้หมด
เพราะของเหนือโลก เจอแล้วจะรู้เอง ท่านบอกไม่เหลือวิสัยมีอยู่ในใจของทุกคน อย่ากลัวตาย กิเลสมันกลัวตาย รอดตายจึงได้ธรรม มันไม่ตายหรอก คนกล้าตาย ไม่กลัวตาย มีแต่กิเลสนั่นละจะตายจากหัวใจ”















ลูกศิษย์ส่งจิตออกนอก

ท่านสอนภาวนาไม่ให้ส่งจิตออกนอก ให้ตั้งสติจ่อที่จิต ส่งความรู้เข้ามาข้างใน ไม่ให้ส่งออกไปข้างนอก ลูกศิษย์ดื้อ ไม่ฟัง ส่งจิตออกนอกกว่าจะรู้ตัว นั่งอยู่บนหลังพญานาคแล้ว พญานาคพาแหวกชั้นดิน ผ่านชั้นหิน ทะลุชั้นน้ำ พุ่งลงเร็วมาก เสียงลมหวีดหวิว น่ากลัวมาก พุ่งลงไปลึกมาก จนถึงเมืองบาดาล เป็นเมืองของพญานาค มีเสียงดังขึ้น “จะพาท่องชมเมืองบาดาล” เป็นเมืองของพญานาค อยู่กันตามผลาญหินเป็นครอบครัว โดยมีกษัตริย์ คือพญานาคราชปกครองเมือง พญานาคราชจะอยู่แท่นหินสูงขนด(ขด)ตัวยกหัวชูสูงตามลำตัวมีปลอกทองประดับตามลำตัวเป็นระยะ ลำตัวมีเกล็ดเป็นสีเขียว พญานาคที่พาไป พาเหาะลอยวนรอบเมืองบาดาล 3 รอบ จึงพากลับขึ้นมาส่งเมืองมนุษย์
ลูกศิษย์คนนั้นเกือบช็อกตาย เพราะกลัวมาก ตัวสั่นเทา และเหนื่อยหอบ ได้รับบทเรียนที่ต้องจดจำไปจนวันตาย ฐานอวดดีไม่เชื่อครูบาอาจารย์ สำคัญมากในการปฏิบัติภาวนาไม่มีครูบาอาจารย์คอยแนะสอนอย่างใกล้ชิดไม่ได้เลย
เวลาทำสมาธิ

ให้ระลึกลมหายใจเข้าออก

ให้รู้ลมหายใจเข้าออก

หายใจเข้าสั้นก็รู้

หายใจออกสั้นก็รู้

หายใจเข้ายาวก็รู้

หายใจออกยาวก็รู้

ไม่ต้องบังคับลมหายใจ

ตามรู้ลมหายใจเข้าออก

สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้

สงบก็ไม่ยินดี ไม่สงบก็ไม่ยินร้าย

ไม่เอาทั้งสงบและไม่สงบ

เอาแค่รู้ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมปัจจุบันนั้น

ทำอะไรก็ให้รู้เหตุปัจจัย

รู้ไม่ใช่เพื่อ ยินดี ยินร้าย รู้เพื่อให้ รู้เหตุปัจจัย

เหตุแห่งความเจริญ

เคารพ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

เคารพ สิกขา 3 ศีล สมาธิ ปัญญา

เคารพในความไม่ประมาท

เคารพในการปฎิสันฐาน

เคารพใน ศีล

เคารพใน สมาธิ

เคารพในกันและกัน

หลักตัดสิน ธรรมวินัย 8 ประการ

ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด

เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้

เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส

เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย

เป็นไปเพื่อสันโดษ

เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่คณะ

เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร

เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย

ธรรมที่ควรเจริญ

สติ

สัมปัชชัญญะ

ศีล

สมาธิ

ปัญญา

วิมุตติ

วิมุตติญาณทัสสนะ

สัมมาทิฏฐิ เห็นชอบ

สัมมาสังกัปปะ ดำริชอบ

สัมมาวาจา พูดชอบ

สัมมาอาชีโว อาชีพชอบ

สัมมากัมมันโต การงานชอบ

สัมมาวายาโม ความเพียรชอบ

สัมมาสติ ระลึกชอบ

สัมมาสมาธิ ตั้งมั่นชอบ

สัมมาญาณะ ความรู้ชอบ

สัมมาวิมุตติ หลุดพ้นชอบ

สัมมาวิมุตติญาณทัสสนะ ความเห็นในการหลุดพ้นชอบ

สัมมาทิฏฐิ

คือ รู้ชัดซึ่ง เหตุแห่ง กุศล วิชชา เป็น เหตุ

รู้ชัดซึ่ง เหตุแห่ง อกุศล อวิชชา เป็น เหตุ

การบรรลุธรรมอาศัย สติ ปัญญา อุเบกขา เป็นมัทยัทธ์

รักษาสัจจะ เพิ่มพูลจาคะ ไม่ประมาทปัญญา ศึกษาสันติ

การปฎิบัติธรรม

คบสัตบุรุษ ฟังพระสัทธรรม อยู่ในประเทศเหมาะสม ตั้งสัจจะ เดินสัมมาทิฏฐิ เจริญความสงบ

ออกพิจารณาด้านปัญญา + พลังกุศล - บ่มอินทรีย์ นิพพิทา วิราคะ วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ

สติ - ศีล - สมาธิ - ปัญญา - วิมุตติ - วิมุตติญาณทัสสนะ

อัปปมาโณพุทโธ อานุภาพพระพุทธเจ้าไม่มีประมาณ

อัปปมาโณธัมโม อานุภาพพระธรรมไม่มีประมาณ

อัปปมาโณสังโฆ อานุภาพพระสงฆ์ไม่มีประมาณ

เรื่องของสมมติ อวิชชา ตัวตน ยึดตรงไหน หลงที่ไหน ผิดที่นั้น จุดต่อมแห่งภพชาติ

wiweksikkaram.hi5
 
จำนวนผู้ตอบ: 114
สมัครสมาชิก: Mon Mar 15, 2010 12:20 am
ที่อยู่: สุทธาวาสภูมิ

กลับไปหน้า ธรรมเพื่อชีวิต

ผู้ที่กำลัง online

ผู้ที่กำลังอ่าน forum นี้: สมาชิก ไม่มีสมาชิก และ ผู้เยี่ยมชม 2 คน

cron