คุณแม่จันดี โลหิตดี เมตตา

เพื่อสนทนาธรรม และแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เพื่อความเป็นกัลยาณมิตร กัลยาณธรรมที่ดีต่อกัน

คุณแม่จันดี โลหิตดี เมตตา

Postโดย wiweksikkaram.hi5 » Sat Jul 03, 2010 11:22 pm

หยุดคิด…หยุดทุกข์

จิตยิ่งใหญ่
ธรรมชาติของจิตมีทั้งสงบและทุกข์ แต่สิ่งที่
ทำลายจิต คือ ทุกข์ เมื่อจิตทุกข์แล้ว
ความเจ็บป่วยของจิตย่อมเกิดตามมา
ความเศร้า ความกังวล และความละอาย
ความคิดอยากทำลายตัวเอง คือ สัญญาณ
บอกว่าจิตกำลังไม่สบาย
หยุดคิด คือ หยุดทุกข์
เพราะทุกข์คือโรคร้ายของจิต
หากไม่หยุดคิดวุ่นวาย ความทุกข์ก็ย่อมเกิด
ขึ้นอยู่ร่ำไป เมื่อประสบปัญหาเราต้องหายา
รักษาจิต ซึ่งมีอยู่ชนิดเดียว ไม่เคยล้าสมัย
ได้ผลยอดเยี่ยม คือ พุทโธ เมื่อคิดพุทโธแทน
ความทุกข์จิตที่วุ่นวายก็เริ่มอยู่นิ่ง และสัมผัส
กับความสงบได้ ความคิดต่างๆ ที่รุมเร้า
ก็ผ่อนคลายลงได้
รักษาทุกข์ด้วยยา คือ พุทโธ
พุทโธ ไม่ใช่คำกำจัดความของศาสนาใด
ศาสนาหนึ่งคือ พุทโธ เป็นยารักษาจิต
ที่ยอดเยี่ยมที่สุดนี้คือยาที่ทุกคนสามารถ
พิสูจน์และทดลองได้ด้วยตนเอง ผู้ที่ยอม
กินยานี้ย่อมประสบกับความสงบในจิต
หยุดความทุกข์จากความคิดทั้งปวงได้
และเห็นผลอย่างแน่นอน อยากให้ทุกคน
พิสูจน์ทดลองเพราะโรคทุกข์มีอยู่ในใจ ของทุกคน
ธรรมคุณแม่จันดีเมตตา













ความหวัง…ในวันที่เหนื่อยล้า


จำความได้ชีวิตเติบใหญ่มาท่ามกลางความยากเข็ญ สู้บุกบั่น ขยันเรียน แต่ความลำบากบังคับ ต้องหยุดเรียน ตามความจำเป็นทางครอบครัว ในวัยเด็กพอทำงานแลกเงินได้ ยอมสู้ทนกับงานทุกอย่างที่มีเข้ามา
ชีวิตในวัยหนุ่มมีโอกาสได้บวช แล้วแต่งงานมีครอบครัว มีลูกหลายคนลูกทุกคนต่างดิ้นรนไปตามวิถึชีวิตของตัวเอง ยากลำบากชะตาชีวิตของใคร คงเป็นของคนนั้น ไม่มีใครเปลี่ยน หรือช่วยกันได้…วิถีกรรม เป็นกงจักรใหญ่คอยตามบีบบังคับ บีบคั้น ชีวิตวัยเด็ก วัยหนุ่ม วัยชรา ล้วนผ่านมาด้วยความทุกข์ ตรากตรำ เป้าหมาย คือผู้โดยสารที่ยืนข้างถนน วัยชราช่างเป็นอุปสรรค แม้รถคันนี้จะเป็นรถคู่กายมาแต่วัยหนุ่ม รถกับคนขับ คงมีสภาพไม่ต่างกัน แดดจ้าในยามบ่าย ดูโหดร้ายสำหรับชายวัยชราผู้เหนื่อยล้า
ความทุกข์ในชีวิตเป็นเหตุ ให้ต้องหันกลับมาพึ่งวัดอีก เสียดายเวลาที่ผ่านมาทั้งร่างกายและจิตใจก็พร้อมสำหรับปฏิบัติธรรม
แต่ด้วยวิถึกรรม ทำให้ต้องไปมีครอบครัว ลมหายใจในบั้นปลายของชีวิต...ขอตายกับธรรม























ทางที่ไม่อยากเดิน
คุณแม่จันดีเมตตา...เทียบโลก เทียบธรรม
ให้ฟัง
บนโลกใบนี้ทุกอย่างมีคู่เสมอ ถ้าเป็นถนนก็มี 2 เส้น คู่ขนาน เส้นที่ 1 เป็นเส้นทางที่เต็มไปด้วยผู้คนเดินอย่างรีบเร่งเต็มไปหมด ถนนเส้นนี้ถูกเรียกขานว่า ถนนแห่งชัยชนะ ถนนแห่งความสำเร็จ ทั้งที่ผู้คนที่เดินอยู่มีทั้งสมหวัง และผิดหวัง มีทั้งทุกข์ และสุข เมื่อได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ และผู้ผิดหวัง – ทุกข์เมื่อไม่ได้อย่างที่ตัวเองหวัง หรือผู้อื่นอยากให้เป็น
ส่วนเส้นที่ 2 เรียกว่า ถนนแห่งความผิดหวัง เป็นถนนที่ดูเงียบเหงา ปราศจากผู้คน ถนนโล่งแจ้ง ไม่มีการแข่งขัน ไม่มีรางวัล ไม่มีทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ทุกคนใฝ่ฝันอยากได้ ถนนเส้นนี้จึงตรงกันข้ามในทุก ๆ อย่าง ทุก ๆ เรื่อง กับถนนอีกเส้น ผู้ผิดหวังหลายคนจำต้องเลือก ทางเส้นนี้ แต่ก็มีผู้มีปัญญาหลาย ๆ ท่าน ก็เลือกที่จะเดินทางเส้นนี้เช่นเดียวกัน เป็นทางเดินที่ว่างเปล่า ไม่มีแท่นแห่งชัยชนะไว้เชิดชูเกียรติ ไม่มีรางวัล ไม่มีคำสรรเสริญ ไม่มีลาภ – ยศตำแหน่ง เป็นถนนที่ดูปราศจากทุกอย่าง เป็นถนนที่ผู้คนไม่อยากเดิน แต่ผู้เดินอยู่บนถนนเส้นนี้ ยิ่งเดินไปได้ไกล แค่ไหนทุกคนกลับดูเงียบสงบ ปราศจากการดิ้นรน ความเร่าร้อน ไม่มีให้เห็นในกริยาอาการ แต่หลายคนต้องพลัดตกออกไปสู่เส้นทางเดิม เหตุเพราะทางเส้นนี้ไม่มีสมบัติที่ตัวเองต้องการ ไม่มีลาภยศ ไม่มีคำสรรเสริญ ไม่มีกระดาษที่ทุก ๆ ชาติ กำหนดให้แลกเปลี่ยนสินค้าได้ ไม่ตกอยู่ภายใต้กฎ หรือข้อบังคับการกำหนดใด ๆ ของใคร เดินเข้าหา ความมืดที่ปกคลุมปิดบัง ค้นหา เปิดออก ในความมืดนั้น มีแสงสว่างจริงหรือ ? เพราะผู้ที่ท่านเดินก่อน ท่านยืนยันว่า “ท่ามกลางความมืด มีความสว่างอยู่จริง ท่านพบแล้ว และหาวิธีจัดการกับความมืด ที่ปกปิดความสว่างได้สำเร็จ จนความมืดไม่กลับมา ทำให้ท่านได้รับความเดือดร้อนอีกต่อไป…”
ทางคู่ขนาน 2 เส้นนี้ สุดแต่ผู้ต้องการจะตั้งชื่อ แต่ความเป็นจริง มันก็คือ ทางดำมืด และทางสว่าง ที่มีอยู่คู่กันเสมอ ทุก ๆ อย่างมีคู่ มีทุกข์ – สุข, มั่งมี – ยากจน, ผู้แพ้ – ผู้ชนะ, ผู้ดีใจ – ผู้เสียใจ เช่นเดียวกับมืด และสว่าง มีอยู่คู่กันเสมอมา และตลอดไป…สุดแต่ใครจะค้นพบ และยอมเดิน ทางสว่าง ผู้เดินทางเส้นนี้ทุกท่านแลกมาด้วยชีวิต ท่านผู้พบเจอ พยายามชี้ทางบอกผู้คน และท่านเหล่านั้น ก็หายไปพร้อมอายุขัย และทิ้งแผนที่บอกทางเดินไปสู่ชัยชนะแห่งความสว่าง…ที่นั่นมืด ที่นี่สว่าง มันอยู่ในใจของทุกคน..



ท่านผู้ให้...ชีวิตใหม่
ชีวิตฉันเกิดมามีแต่เรียนหนังสือ เรียนจบทำงาน ตั้งความหวังไว้ในใจว่า จะต้องเป็นคนเก่งที่สุด ไม่เคยรู้เลยว่าคนที่เหนือกว่าเรายังมีอีกมากมาย ความผิดหวังมาเยือน...ต้องอาศัย ความมืดเป็นเกราะกำบัง ต้องหลบซ่อนอยู่ แอบแฝงเงามืดเพื่ออำพรางปกปิด ความอ่อนแอ ท้อแท้ ผิดหวัง ฉันได้พบวิธีขจัดความมืดออกจากใจ คือธรรมของพระพุทธเจ้า ให้มีสติ อยู่กับปัจจุบัน ระลึกรู้อยู่กับ “พุทโธ” ที่ทุก ๆ คนสามารถทดลองได้...ก่อนจะสาย... เสียแล้ว เชื่อว่าหลาย ๆ คนอาจจบชีวิตตัวเองเพราะความผิดหวังทั้ง ๆ ที่อยากพบความสว่างบ้างในชีวิต บางคนคิดว่าความมืดดีที่สุดแล้ว เพราะไม่เคยพบสิ่งเหล่านั้น จึงเป็นการยากที่ผู้คนจะเห็นตาม นอกจาก คนผู้นั้นต้องเสียสละ ยอมทิ้งละทุกอย่าง และพิสูจน์ด้วยตนเอง ไม่ใกล้ ไม่ไกล ค้นลงไปที่ “ใจ” ของเราเองทุกคนมี “ใจ” เป็นอาวุธ คือความจดจ่อต่อเนื่องจะพบที่เกิดของเหตุ และที่ดับเหตุ การเดินทางสิ้นสุดลง หยุดการค้นหา เป็นอิสระ หลุดจากอำนาจมืดที่คอยบีบคั้น บังคับ มองกลับไปเห็น เพื่อน ญาติ พี่น้อง ที่เคยเดินบนทางท่องเที่ยว ที่ยาวไกล ไม่มีที่หมาย ไม่มีจุดจบ มุ่งหน้าเดินไปเรื่อย ๆ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งที่ตัวเองพยายามหาอยู่นั้นจะได้หรือไม่
ท่านผู้พบทางสว่างแล้ว ท่านบอก “ทุกข์ เพราะไม่ได้ตามความอยาก, สุข เพราะคิดว่า สำเร็จ -> สมหวัง แต่ทั้ง 2 อย่างไม่ได้ตั้งอยู่นาน และตลอดไป ความผิดหวังจึงมาเยือน ทุกอย่างจำต้องเปลี่ยนไป – มา, สลับเปลี่ยน หมุนเวียน เป็นความจริงที่ลบออกไม่ได้…
ไม่อยากได้ ก็เป็น ทุกข์
อยากได้ – แต่ไม่ได้ ก็ทุกข์”
“เมล็ดพันธุ์ทุกชนิดงอกเงยได้ดีที่ไหน คือที่ ใจ เรานั้นเอง”
ธรรมที่คุณแม่จันดี ช่วยชีวิต ปี 2543









แท่นแห่งชัยชนะ
เท้าของฉันได้เหยียบย่าง และยืนบนแท่นนี้มาแล้ว ท่ามกลางคราบน้ำตา ของผู้แพ้ เหยียบผ่านทุกข์บนหัวใจหลาย ๆ ดวงกว่าจะมีวันนี้ วันแห่งชัยชนะ สมหวัง และที่เดียวกันก็มีผู้แพ้ ที่ไม่สมหวัง พร้อมคราบน้ำตา อยู่ในที่เดียวกัน แต่ฉันผู้ได้รับชัยชนะในเวลานี้ ฉันจะเป็นผู้แพ้ในกาลต่อมาหรือไม่ เสียงกรีดร้องเพราะสมหวัง และเสียงกรีดร้องเพราะผิดหวัง จึงดังระงมในที่เดียวกัน ซีกหนึ่งสมหวัง อีกซีกหนึ่งผิดหวัง สูญเสีย คราบน้ำตา และหัวใจที่ยับเยิน
แท่นแห่งชัยชนะนี้ คือแท่นแห่งทุกข์หรือเปล่า ทำไมมีผู้คนแก่งแย่ง แข่งขัน พยายามขึ้นไปยืน เหมือนเป็นความฝันอันสูงสุด จะมีใครรู้ไม่ว่าที่นี่ไม่ใช่ที่สุดของสุข แต่เป็นที่สุดของทุกข์ ที่เกิดขึ้นเต็มไปหมดในที่เดียวกัน ถ้าเราเปลี่ยนจากผู้ชนะ เป็นผู้แพ้ เราจะรู้ไหมว่า แพ้ หรือ ชนะ ล้วนหน้าสงสาร แข่งขัน แย่งชิง ที่จะขึ้นไปยืน บนแท่นที่ถูกตั้งชื่อว่า “สุดยอด เก่งที่สุด” มันคือ แท่นแห่งความสุข – สมหวัง แท่นของชัยชนะหรือ
จะมีคนมองไปรอบ ๆ บริเวณที่ประกาศชัยชนะ จะเห็นความจริงไหมว่า แท่นเสกสรรสุขจอมปลอมให้ผู้คนหลงเดิน – วิ่ง แท่นนี้คือ “แท่นแห่งทุกข์” สู่มรณะภัย ทำร้ายจิตใจตัวเอง และผู้อื่น
ขณะนั้นใจ คิดถึงธรรมคำสอนของพระหลวงตามหาบัว
“ชนะผู้อื่นได้มากเท่าไหร่ ก็ไม่สู้ชนะใจของตัวเอง”






ชีวิตที่เปลือยเปล่า
ฉันเห็นจุดจบของเพื่อนคนหนึ่งต่อหน้าต่อตา เพื่อนจากโดยไม่ได้บอกลา ไปอย่างกระทันหัน เงียบวังเวง…เยือกเย็น นี่คือบรรยากาศโดยรอบในขณะนั้น เหมือนฝัน ร่างของเพื่อนนอนเงียบทอดยาวเปลือยเปล่า จากทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เคยแบก และรับภาระอยู่ ทิ้งทุกอย่าง จากไปไร้ร่องรอย ทิ้งไว้แต่ความทรงจำ ในความรู้สึกของผู้ที่รู้จัก ใกล้ชิด ญาติมิตร เพื่อนพ้อง
ชีวิตของเพื่อนเป็นเครื่องหมายของความทุกข์ อยากจะบอกเพื่อนว่า เพื่อนจากไป แต่ให้อะไรกับผู้ยังอยู่อีกมากมาย ให้สัจจะธรรมความจริง ยิ่งกว่าการให้ใด ๆ … ชีวิตจบแต่การเดินทางไม่สิ้นสุด ช่างเป็นความโหดร้าย ที่น่าสะพรึงกลัว ฉันเข้าใจวิถีทางของเพื่อน และตัวฉันเอง ฉันรู้สึกหนาว…เยือกเย็น…หวาดกลัว วันข้างหน้าที่ตัวฉันต้องเผชิญบ้าง ช่างเป็นชีวิตที่เปลือยเปล่า ต้องจากไปอย่างไร้คุณค่า รู้ทั้งรู้ ทำไม ๆ ๆ ๆ ฉันจึงหาทางออกไม่ได้ ฉันไม่อยากมีชีวิตที่ต้องจากโลกนี้ไปอย่างเปลือยเปล่า และเปล่าเปลือย…
นี่คือ...เหตุการณ์ที่ช่วยผลักดัน ให้ฉันกลัวความไม่เที่ยง กลัวความจริงที่จะเกิดกับตัวเอง ฉันจะพึ่งใคร ใครจะช่วยฉันได้ ถ้าฉันไม่พึ่งธรรม ฉันแสวงหาครูบาอาจารย์ที่จะช่วยฉันได้ก่อนตาย
คืนวันหนึ่งฉันหมุนคลื่นวิทยุหมุนไปเรื่อย ๆ ได้ยินเสียงในวิทยุบอก ”ให้หัดตายก่อนตาย” เป็นโจทย์ที่ฉันแสวงหาผู้เฉลย... ท่านคือพระหลวงตามหาบัว
















ตะลึงพบมิติใหม่
ฉันมีโอกาสได้เข้าไปวัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี เพื่อทำบุญจะได้หายจากทุกข์ ตามความเข้าใจ หลังจากถวายอาหารบนศาลา ในสมัยนั้น เจ้าอาวาสซึ่งเป็นหัวหน้าวัดรับประเคนอาหารจากผู้ถวายเอง เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2525 ผู้คนมีน้อยเทียบกับปัจจุบัน แต่ท่านก็เมตตาให้อุบายวิธีทางออกจากทุกข์ ท่านบอกให้พักจิต ให้คิดพุทโธแทน ก่อนนอนก็ไหว้พระสวดมนต์ ให้หลับไปพร้อมพุทโธ ตื่นมารู้สึกตัวก็รีบพุทโธ จิตได้พักเหนื่อย จะได้มีกำลัง ไปทดลองทำในคืนนั้น พบว่าตัวเองเข้าไปสู่อีกมิติหนึ่ง เป็นความเวิ้งว้าง เยือกเย็น เบาเหมือนไม่มีกาย เห็นแต่ลมหายใจ คดเคี้ยว เข้า – ออก ไม่ปรากฏว่ามีตัวตนเป็นอยู่นาน รู้สึกถึงความแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นจากอานุภาพ ของคำว่า พุทโธ ๆ ๆ ๆ จึงหาโอกาสพักจิตด้วยพุทโธก่อนนอนทุกวัน
จนวันหนึ่งจิตเห็นตัวเองย่อส่วนเป็นตัวเล็ก ๆ กำลังตกลงเหวลึก รู้สึกกลัวมาก ไม่กล้าพุทโธอีก มีโอกาสมาทำบุญที่วัดป่าบ้านตาดอีก จึงกราบเรียนถามท่านพระหลวงตามหาบัว ท่านตอบว่า “อย่ากลัวให้ทำต่อ มันเป็นเพียงอาการของจิต ตัวจริง ๆ เราไม่ได้เป็นอย่างนั้น”
ในค่ำวันนั้นก่อนนอนได้ปฏิบัติตามท่านบอก ขณะภาวนาเหตุการณ์ก็เกิดขึ้นเหมือนครั้งที่แล้ว…จึงพยายามระลึกตามคำสอนของท่านว่า “ตัวจริง ๆ เราไม่ได้เป็นอย่างนั้น” ไม่นาน ทุกอย่างจึงสงบลง…
ชีวิตของฉันกับวัดป่าบ้านตาด ดูจะแยกไม่ออก จากนั้น…ฉันได้เจอครูบาอาจารย์ในวัดป่าบ้านตาด ทราบภายหลังว่า ท่านคือน้องสาวของพระหลวงตามหาบัว
ชื่อคุณแม่จันดี โลหิตดี











โดดเดี่ยว
ฉันเกิดมามีแต่ห่วงใยคนนั้น คนนี้ กลัวการพลัดพราก ไม่อยากให้คนที่เรารักต้องตาย เพราะเป็นเรื่องเศร้าที่สุด ยากที่จะลืม แม่ต้องมาตายเพียงท่านอายุ 58 ปี (ล้มก้นกระแทกในห้องน้ำ) แม่เป็นคนอ้วน
แม้เวลาจะผ่านไปเป็น 10 ปี ก็ไม่เคยลืมแม่เอาผ้าขนหนูที่แม่เคยใช้มากอดนอนทุกคืน ไม่นานพ่อก็มาจากไปอีกคน ฉันรู้ถึงความโดดเดี่ยวไร้ที่พึ่ง กลัวความตาย จิตใจอ่อนแอ ไม่กล้าแม้กระทั่งจะขับรถยนต์เอง
พยายามทำงาน ทำงาน เพื่อจะลืมท่านทั้งสอง
ก็พยายามใช้ธรรมะเข้าช่วย หลังเลิกงานไปทำสมาธิ ทำวัตรเย็นที่วัดป่าบ้านจิก (พระหลวงปู่ถิร จังหวัดอุดรธานี) ท่านก็จะเทศน์ทุก ๆ วันพร้อมทำสมาธิไปด้วย ทำให้จิตใจเริ่มเข้มแข็งขึ้นกล้าที่จะขับรถยนต์เอง สิ่งแรกที่คิดถึงตลอดเวลาคือการขับรถยนต์ไปวัดป่าบ้านตาดด้วยตัวเอง คิดถึงพ่อตอนเด็ก ๆ พาไปกราบพระหลวงตามหาบัวที่บนกุฏิของท่าน และท่านเมตตามอบหนังสือธรรมะหลาย ๆ เล่ม พ่อจะเห็นคุณค่าของหนังสือธรรมะนี้มาก พ่อว่า “มีเงินจะซื้อทองตอนไหนก็ได้ แต่หนังสือธรรมะนี้ใช่ว่าจะมีตลอดเวลาเหมือนทองคำ”
วันหนึ่งหลานเจออุบัติเหตุ คางแตก เลือดไหล ตกใจกลัวมาก กลัวการพลัดพราก ใจเกาะติดแต่การพลัดพราก และความตาย รู้สึกเป็นทุกข์ โดดเดี่ยวไร้ที่พึ่งพยายามคิดถึงคำสอนของพ่อพ่อที่เคยบอกลูก ๆ เสมอว่าบุญเก่าเราน้อยต้องทำบุญใหม่เพิ่มก็พยายามไปใส่บาตรถวายจังหันที่วัดป่าบ้านตาดทุกวันเสาร์ – อาทิตย์
ต่อมาจึงขออนุญาตพระในวัดมาจำศีลภาวนา ได้พบกับหญิงชราท่านหนึ่งเห็นท่านครั้งแรก รู้สึกอบอุ่น เหมือนได้อยู่ใกล้พ่อ- แม่ คุยกับท่านจนเวลาผ่านไปหลายชั่วโมง ขณะนั้นลืมความทุกข์ในใจหมดสิ้น จึงกราบขอเมตตาให้ท่านสั่งสอน รู้สึกว่าชีวิตนี้ไม่โดดเดี่ยว ยึดท่านเป็นที่พึ่งทางใจ ตลอดมา…












ทำไมต้องเป็นบ้า?...หลีกทางบ้า
ฉันมีสมบัติที่ทุกคนไม่ปรารถนา ไม่มีใครคิดแย่งหรือชกชิง แม้แต่ตัวเอง ก็แทบบ้า เพราะหาทางทิ้งสมบัติไม่ได้ ฉันอยากออกวิ่ง อยากฉีกเสื้อผ้าออกให้หมด อยากกรีดร้อง เพราะสมบัติที่ฉันรับไว้ แบกอยู่ มันหนักเกินกำลัง ต้องต่อสู้กับสิ่งที่เกิดขึ้นในใจ ฉันกอดเสาไว้แน่น ร้องไห้จนตัวสั่น ต่อสู้กับความรู้สึก กับความต้องการในใจ ใช้เวลาหลายชั่วโมงในแต่ละครั้งที่มันสั่งการให้ฉันทำตาม
ได้แต่เตือนตัวเอง ทั้งร้องไห้…อย่าไป…อย่าออกวิ่ง…อย่าฉีกเสื้อผ้า ถึงจะรำคาญร้อนเผาลน…เดี๋ยวคนเขาจะว่าเราเป็นคนบ้า อย่าทำ ๆ ฉันกอดต้นเสาแน่น ปากระล่ำ ระลักบอกเตือนตัวเอง ฉันเหนื่อย แทบขาดใจ ทุก ๆ ครั้ง ที่ฉันเจอ และต่อสู้กับศัตรูในตัวเอง มันน่ากลัว มันมีพลังมหาศาล เป็นอสรพิษร้ายที่ชกกัด ฝังเขี้ยวพร้อมปล่อยพิษ ทำร้ายฉันทุกเมื่อที่มันต้องการ อสรพิษร้าย อยู่ในใจฉัน มันคือความทุกข์ที่ฉันไม่มีอำนาจ หรืออาวุธชนิดใด ๆ จะจัดการมันได้ ทุก ๆ คนอยู่ใต้อำนาจของมัน
แต่มีสิ่งหนึ่งที่ฉันประหลาดใจ เมื่ออสรพิษกำลังทำร้ายฉันทุกรูปแบบ สุดแต่กำลังของมัน ไม่เคยมีคำว่าปรานี บางครั้งเห็นใจของตัวเองหยุดดิ้นตามแรงเหวียงมัน สภาพเหมือนคัทเอาท์ไฟถูกสับลง ทุกอย่างหยุดเหมือนชะงัก เครื่องดับไม่ทำงาน แต่มันเป็นการดับที่มีพลัง เหนือพละกำลังของศัตรู ฉันจึงอาศัยจุดดับนี้ประคองตัวเองมาจนปัจจุบัน ผ่านวิกฤตที่จะถูกทุก ๆ คนตราหน้าว่า คนบ้า…อีผีบ้า เพราะฉันพบจุดดับ ในจุดเกิด เกิดอยู่ที่ไหนต้องดับจุดนั้น เหตุที่ใจฉันเอง มืดในใจฉันเอง ทุกข์ในใจฉันเอง หยุดในใจฉันเอง.
ไม่ใช่ฉันเก่ง แต่ขณะนั้น เหมือนทุกข์เกิดถึงที่สุดแล้ว ทุกข์นั้นก็ดับลง ให้เห็นในขณะนั้น ฉันยืนตะลึง ! กับสภาวะที่เกิดขึ้น ไม่มีกาย ไม่มีลมหายใจ มีแต่รู้ เป็นความรู้ที่อยู่ ท่ามกลางความว่าง...

ขอกราบเท้าพระหลวงตามหาบัว, คุณแม่จันดี ที่ท่านทั้งสองได้วางธรรมไว้ในจุดหนึ่งของหัวใจ










เสียง...ที่ช่วยชีวิต
บนถนนเส้นนี้ ไม่ว่าสัตว์ หรือมนุษย์จำต้องเดิน ๆ ๆ ไป ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ชอบ – ไม่ชอบ, อยาก – ไม่อยาก ทุกข์ทรมานที่สุด ฉันขอเรียก ความทุกข์ทนนี้ว่า ความมืด ขอให้คำนิยามจำกัดความ เมื่อฉันเจอทางออก เรียกว่า ความสว่างเส้นขีดของเท้าที่ก้าวเดิน คือ จุดจบของทุกชีวิต มฤตยู คือความตาย จึงเป็นจุดหมายของทุกคน – สัตว์ ไม่มีใครโหยหาต้องการสิ่งนี้ แต่หาหลีกพ้นไม่ ในช่วงหนึ่งของชีวิตฉันกลับอาจหาญที่จะจบชีวิตของตัวเองด้วยวิธีการต่าง ๆ เหตุเพราะทุกข์ในใจ หลายคนฆ่าตัวตาย เพราะกายเป็นเหตุจากความเจ็บป่วย แต่เมื่อทุกข์เกิดกับตัวเอง ฉันจึงได้รู้ว่าใจต่างหากที่เป็นผู้บงการ สั่งให้ฉันฆ่าตัวตาย เมื่อตัวการใหญ่ที่มีอำนาจสูงสุดบังคับฉัน ตอนนั้นฉันเหมือนทาสต้องทำตามทันที เพราะทุกข์คิดหาทางออกไม่มี ทุกข์จนอยากหนีทุกข์ ทุกข์ข้างหน้าค่อยว่ากัน ขอดับทุกข์ต่อหน้านี้เท่านั้น ก่อนจะถึงเวลาที่ฉันคิด และวางแผนไว้ จะมีไหมบุคคลที่สามารถช่วยดับทุกข์ให้ผู้คนได้ ฉันจึงตามหาบุคคลผู้นั้น ทั้ง ๆ ที่ใจฉันตอนนั้น ไม่เชื่อว่าจะมีใครดับทุกข์ในใจ และแก้ปัญหาให้ฉันได้…
ฉันได้พบบุคคลที่จะช่วยดับทุกข์ในเช้าวันต่อมา ฉันพบและนั่งอยู่ต่อหน้าท่านแล้ว ท่านคือพระหลวงตามหาบัว ความทุกข์ยังเผาไหม้ใจฉันดั่งเพลิง ยิ่งกว่าไฟเพลิงดวงอาทิตย์ ฉันกระสับกระส่ายทุกข์ทรมาน จนอยากหนีไปให้พ้น ๆ ทุกข์ที่ทำร้ายฉันอยู่ในขณะนี้ ทันใดนั้น ! เสียงบุคคลที่ฉันหวังจะไปให้ช่วยก็ดังขึ้น “อย่าคิดฆ่าตัวตาย เพราะความตายไม่ใช่การแก้ปัญหา ไม่ใช่ทางช่วยให้ทุกข์หายไป ถ้าเรามีชีวิตอยู่เรายังมีโอกาส แต่ถ้าเราตายเราจะหมดโอกาส ทุก ๆ อย่าง และเจอทุกข์ – มหันตทุกข์ ยิ่งกว่าที่เจออยู่นี้หลายเท่า ๆ ๆ นัก ให้อดทน ทุกปัญหาย่อมหาทางออกแก้ไขได้ ถ้าเรายังไม่ตาย…” คำพูดเพียงไม่กี่ประโยคของท่านน้ำตาฉันร่วงพรู ฉันไม่ได้บอกท่าน ? ไม่ได้พูดบอกอะไรท่านสักคำ แต่ท่านสามารถรู้ถึงแผนที่ฉันวางไว้ในใจฉันได้อย่างไร ท่านจึงเป็นเสมือนจุดสว่างในใจที่มืด ด้วยความทุกข์ที่เผาลน จนสุดจะทานทน…
เวลาทำสมาธิ

ให้ระลึกลมหายใจเข้าออก

ให้รู้ลมหายใจเข้าออก

หายใจเข้าสั้นก็รู้

หายใจออกสั้นก็รู้

หายใจเข้ายาวก็รู้

หายใจออกยาวก็รู้

ไม่ต้องบังคับลมหายใจ

ตามรู้ลมหายใจเข้าออก

สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้

สงบก็ไม่ยินดี ไม่สงบก็ไม่ยินร้าย

ไม่เอาทั้งสงบและไม่สงบ

เอาแค่รู้ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมปัจจุบันนั้น

ทำอะไรก็ให้รู้เหตุปัจจัย

รู้ไม่ใช่เพื่อ ยินดี ยินร้าย รู้เพื่อให้ รู้เหตุปัจจัย

เหตุแห่งความเจริญ

เคารพ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

เคารพ สิกขา 3 ศีล สมาธิ ปัญญา

เคารพในความไม่ประมาท

เคารพในการปฎิสันฐาน

เคารพใน ศีล

เคารพใน สมาธิ

เคารพในกันและกัน

หลักตัดสิน ธรรมวินัย 8 ประการ

ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด

เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้

เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส

เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย

เป็นไปเพื่อสันโดษ

เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่คณะ

เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร

เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย

ธรรมที่ควรเจริญ

สติ

สัมปัชชัญญะ

ศีล

สมาธิ

ปัญญา

วิมุตติ

วิมุตติญาณทัสสนะ

สัมมาทิฏฐิ เห็นชอบ

สัมมาสังกัปปะ ดำริชอบ

สัมมาวาจา พูดชอบ

สัมมาอาชีโว อาชีพชอบ

สัมมากัมมันโต การงานชอบ

สัมมาวายาโม ความเพียรชอบ

สัมมาสติ ระลึกชอบ

สัมมาสมาธิ ตั้งมั่นชอบ

สัมมาญาณะ ความรู้ชอบ

สัมมาวิมุตติ หลุดพ้นชอบ

สัมมาวิมุตติญาณทัสสนะ ความเห็นในการหลุดพ้นชอบ

สัมมาทิฏฐิ

คือ รู้ชัดซึ่ง เหตุแห่ง กุศล วิชชา เป็น เหตุ

รู้ชัดซึ่ง เหตุแห่ง อกุศล อวิชชา เป็น เหตุ

การบรรลุธรรมอาศัย สติ ปัญญา อุเบกขา เป็นมัทยัทธ์

รักษาสัจจะ เพิ่มพูลจาคะ ไม่ประมาทปัญญา ศึกษาสันติ

การปฎิบัติธรรม

คบสัตบุรุษ ฟังพระสัทธรรม อยู่ในประเทศเหมาะสม ตั้งสัจจะ เดินสัมมาทิฏฐิ เจริญความสงบ

ออกพิจารณาด้านปัญญา + พลังกุศล - บ่มอินทรีย์ นิพพิทา วิราคะ วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ

สติ - ศีล - สมาธิ - ปัญญา - วิมุตติ - วิมุตติญาณทัสสนะ

อัปปมาโณพุทโธ อานุภาพพระพุทธเจ้าไม่มีประมาณ

อัปปมาโณธัมโม อานุภาพพระธรรมไม่มีประมาณ

อัปปมาโณสังโฆ อานุภาพพระสงฆ์ไม่มีประมาณ

เรื่องของสมมติ อวิชชา ตัวตน ยึดตรงไหน หลงที่ไหน ผิดที่นั้น จุดต่อมแห่งภพชาติ

wiweksikkaram.hi5
 
จำนวนผู้ตอบ: 114
สมัครสมาชิก: Mon Mar 15, 2010 12:20 am
ที่อยู่: สุทธาวาสภูมิ

กลับไปหน้า ธรรมเพื่อชีวิต

ผู้ที่กำลัง online

ผู้ที่กำลังอ่าน forum นี้: สมาชิก ไม่มีสมาชิก และ ผู้เยี่ยมชม 5 คน

cron