ข่าวกิจนิมนต์พระอาจารย์ 6-11 มี.ค.54 กทม.-ถ้ำยายปริก-ระยอง

แจ้งข่าวงานบุญ งานกุศล ไม่สร้างไม่ได้แล้ว

ข่าวกิจนิมนต์พระอาจารย์ 6-11 มี.ค.54 กทม.-ถ้ำยายปริก-ระยอง

Postโดย wiweksikkaram.hi5 » Mon Mar 14, 2011 4:00 pm

พระอาจารย์ได้เมตตา โปรดญาติคุณกัลยาที่ อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา

Image

Image

Image

Image

Image

Image

วันที่ ๗ มีนาคม ตอนเย็น พระอาจารย์ได้เดินทางถึง กรุงเทพ ได้เมตตาแสดงธรรม ที่บ้านคุณวิภาดา

Image

Image

Image

Image

Image

Image

Image

Image

Image

Image

Image

Image

ในวันที่ 8 มีนาคม 2554 พระอาจารย์ได้เดินทางไปจังหวัดชลบุรี และ ได้ขึ้นเรือที่ท่าเกาะลอย ในระหว่างเดินทางได้มี เหล่า พญานาค พร้อมทั้งเทพ เทวดา ทั้งหลาย ตามอารักขามากมาย

Image

Image

Image

Image

Image

ในช่วงเย็น วันที่ 8 มกราคม 2554 พระอาจารย์ได้เมตตา ร่วมทำวัตรเย็น ในศาลารื่นจิตร พร้อมกับ พระภิกษุ แม่ชี อุบาสก อุบาสิกา

Image

Image

Image

Image

Image

Image

Image

Image

Image

ในภาพนี้มีเหล่าพระพรหม พร้อมทั้ง เทพ เทวดา และ พระโพธิสัตว์ ร่วมทำวัตรเย็น กับพระอาจารย์ด้วย (ดวงใหญ่ๆ คือพระพรหม)

Image

Image

Image

ในเวลา 19.00 น พระอาจารย์ได้เมตตาแสดงธรรม โดยการนิมนต์ของท่านเจ้าอาวาสวัดถ้ำยายปริก

Image

Image

Image

Image

Image

Image

ในภาพด้านล่าง อานุภาพ สมเด็จพระพุทธเจ้าองค์ปฐม มาช่วยพระอาจารย์แสดงธรรม ในขณะที่ท่านพระอาจารย์แสดงธรรมทุกคนฟัง แล้วไม่ง่วง แจ่มแจ้งดีมาก

Image

Image

Image

Image

Image

Image

ในภาพด้านล่าง 4 ภาพ ปรากฎแสงเป็นรูปทรงระฆัง ปรากฎขึ้น ในบริเวร พระธาตุหลวงตาประสิทธิ์ ถาวโร ขึ้นมาต้อนรับ สมเด็จพระพุทธเจ้าองค์ปฐม

Image

Image

Image

Image

ในภาพด้านล่าง อานุภาพ สมเด็จพระพุทธเจ้าองค์ปฐม พระพุทธเจ้าทั้งหลาย พร้อมทั้งพระอริยสงฆ์เจ้าทั้งหลาย มาช่วยพระอาจารย์แสดงธรรม

Image

Image

Image

Image

Image

Image

Image

Image

Image

ภาพนี้มีปรากฎรูปพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)มาช่วยพระอาจารย์แสดงธรรม (ในสี่เหลี่ยมสีแดง)

Image



Image
wiweksikkaram.hi5
 
จำนวนผู้ตอบ: 114
สมัครสมาชิก: Mon Mar 15, 2010 12:20 am
ที่อยู่: สุทธาวาสภูมิ

Re: ข่าวงานวัดถ้ำยายปริก วันที่ 7-9 มีนาคม 2554

Postโดย นิรทุกข์ » Mon Mar 14, 2011 5:30 pm

สาธุ สาธุ สาธุ
ขออนุโมทนาด้วยครับ
นิรทุกข์
 
จำนวนผู้ตอบ: 559
สมัครสมาชิก: Sat Mar 13, 2010 7:46 pm

Re: ข่าวงานวัดถ้ำยายปริก วันที่ 7-9 มีนาคม 2554

Postโดย kanlaya » Wed Mar 16, 2011 1:42 pm

สาธุ
kanlaya
 
จำนวนผู้ตอบ: 8
สมัครสมาชิก: Mon Jul 05, 2010 6:51 pm

Re: ข่าวงานวัดถ้ำยายปริก วันที่ 7-9 มีนาคม 2554

Postโดย ศิษย์พระอาจารย์ » Wed Mar 16, 2011 4:29 pm

:lol: สา.....ธุ สา.....ธุ
ศิษย์พระอาจารย์
 
จำนวนผู้ตอบ: 27
สมัครสมาชิก: Fri Apr 09, 2010 12:26 pm

Re: ข่าวงานวัดถ้ำยายปริก วันที่ 7-9 มีนาคม 2554

Postโดย กัปตัน » Fri Mar 18, 2011 2:49 pm

:D :D :D สาธุครับ :D :D :D
กัปตัน
 
จำนวนผู้ตอบ: 36
สมัครสมาชิก: Thu Apr 08, 2010 1:44 am

Re: ข่าวงานวัดถ้ำยายปริก วันที่ 7-9 มีนาคม 2554

Postโดย wiweksikkaram.hi5 » Sat Apr 02, 2011 4:39 pm

ภาพในงาน ระลึกถึงครูอาจารย์ หลวงพ่อประสิทธิ์ ถาวโร ในวันที่ 9 มีนาคม 2554 ตอนที่ 2

Image

Image

Image

พระอาจารย์ได้เมตตา ถ่ายรูป พร้อมกับพระภิกษุ และ แม่ชี ที่มาร่วมในงานนี้

หลังจากนั้นมีการเจริญพระพุทธมนต์

Image

Image

Image

เจ้าภาพและประธานฝ่ายสงฆ์

Image

Image

Image
wiweksikkaram.hi5
 
จำนวนผู้ตอบ: 114
สมัครสมาชิก: Mon Mar 15, 2010 12:20 am
ที่อยู่: สุทธาวาสภูมิ

Re: ข่าวงานวัดถ้ำยายปริก วันที่ 7-9 มีนาคม 2554

Postโดย wiweksikkaram.hi5 » Sat Apr 02, 2011 4:47 pm

หลังจากนั้นพระอาจารย์ได้เมตตาไปแสดงธรรม ที่ SCG จังหวัดระยอง

Image

Image

Image

Image

อานุภาพพระพุทธเจ้าคลุมแม่ชี และ มาช่วยพระอาจารย์แสดงธรรม

Image

Image

Image

Image

Image

Image

Image

Image

Image

Image

Image

Image

พนักงาน ชาวSCG และ ชมรมพุทธศาสตร์SCG ได้มาฟังเทศนาพระอาจารย์ อย่างมากมาย

Image

Image

Image

Image
wiweksikkaram.hi5
 
จำนวนผู้ตอบ: 114
สมัครสมาชิก: Mon Mar 15, 2010 12:20 am
ที่อยู่: สุทธาวาสภูมิ

Re: ข่าวงานวัดถ้ำยายปริก วันที่ 7-9 มีนาคม 2554

Postโดย wiweksikkaram.hi5 » Sat Apr 02, 2011 5:06 pm

หลังจากนั้น พระอาจารย์ได้ไปกราบสมเด็จองค์ปฐมปางจักรพรรดิ ทรงเครื่องกษัตริย์

Image

Image

Image

Image

ในขณะที่ได้ไปสักการะ สมเด็จองค์ปฐม ที่ SCG คณะที่ไปมี ท่านศิษย์พระอาจารย์ คุณThaveepol คุณสัมฤทธิ์ คุณวรรณะ และ คุณ Aor ปรากฎว่าได้ถ่ายรูปกันแต่ไม่ติด อะไรในรูปเลย จึงได้สวดบทบรวงสรวงชุมนุมเทวดา ของท่านพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) ปรากฎว่า อานุภาพพระพุทธเจ้าก็ได้ปรากฎพร้อมทั้ง ท้าวมหาราชทั้ง 4 และเหล่าเทวดาทั้งหลาย และหลังจากหยุดสวด ก็ถ่ายไม่ติดตามเดิม การสร้างพระถ้าพระพุทธเจ้าเทวดา ไม่เห็นชอบด้วย ท่านเหล่านั้นก็ไม่มาอนุโมทนาบุญ ถึงแม้จะเสียเงินจำนวนมากเพื่อเชิญ ก็ตามจะไม่มีประโยชน์ แม้แต่จะไปเชิญพระพุทธรูปที่ปลุกเสกมาแล้วก็ไม่มีประโยชน์

Image

Image

Image

Image

Image

Image

Image

Image

Image

Image

Image

Image

Image
wiweksikkaram.hi5
 
จำนวนผู้ตอบ: 114
สมัครสมาชิก: Mon Mar 15, 2010 12:20 am
ที่อยู่: สุทธาวาสภูมิ

Re: ข่าวงานวัดถ้ำยายปริก วันที่ 7-9 มีนาคม 2554

Postโดย wiweksikkaram.hi5 » Sat Apr 02, 2011 5:09 pm

หลังจากนั้นพระอาจารย์ได้เมตตา แสดงธรรม สนทนาธรรม และแก้ปัญหาธรรม ที่บ้านของคุณวรรณะ

Image

Image

Image

Image

Image

Image
wiweksikkaram.hi5
 
จำนวนผู้ตอบ: 114
สมัครสมาชิก: Mon Mar 15, 2010 12:20 am
ที่อยู่: สุทธาวาสภูมิ

Re: ข่าวงานวัดถ้ำยายปริก วันที่ 7-9 มีนาคม 2554

Postโดย นิรทุกข์ » Sat Apr 02, 2011 7:29 pm

สาธุ สาธุ สาธุ

ขอกราบระลึกถึงคุณพระสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ ท้าวมหาราชทั้ง ๔ และ เทวดาจากทุกเหล่าชั้นฟ้า
ขอขอบคุณและอนุโมทนา คุณ wiweksikkaram.hi5 ที่ช่วยนำภาพมาลงพร้อมคำอธิบายให้ทราบครับ
นิรทุกข์
 
จำนวนผู้ตอบ: 559
สมัครสมาชิก: Sat Mar 13, 2010 7:46 pm

Re: ข่าวงานวัดถ้ำยายปริก วันที่ 7-9 มีนาคม 2554

Postโดย ผู้เขียน » Sat Apr 02, 2011 10:40 pm

ขออนุโมทนาสาธุครับ
ผู้เขียน
 
จำนวนผู้ตอบ: 77
สมัครสมาชิก: Sun Mar 14, 2010 12:23 pm
ที่อยู่: 4 Gunnamatta Place, Kelmscott, Western Australia, Australia, 6111

Re: ข่าวงานวัดถ้ำยายปริก วันที่ 7-9 มีนาคม 2554

Postโดย กัปตัน » Sun Apr 03, 2011 9:24 am

:D :D :D สาธุครับ :D :D :D
กัปตัน
 
จำนวนผู้ตอบ: 36
สมัครสมาชิก: Thu Apr 08, 2010 1:44 am

Re: ข่าวงานวัดถ้ำยายปริก วันที่ 7-9 มีนาคม 2554

Postโดย wiweksikkaram.hi5 » Wed Apr 06, 2011 11:37 pm

เพิ่มเติมโดยคณะเด็กวัด ยุบกระทู้เพื่อไม่ให้สับสน

รายงานข่าวโดยคณะเด็กวัด.. :)

พระอาจารย์รับกิจนิมนต์แสดงธรรมดังนี้ค่ะ

7 มีนาคม ณ บ้านคุณทวีพล กทม.
8 มีนาคม ณ วัดถ้ำยายปริก เกาะสีชัง
9 มีนาคม ณ SCG นิคมอุตสาหกรรม มาบตาพุด
10 มีนาคม ณ บ้านคุณทวีพล

โดยการเดินทางครั้งนี้มีคุณแม่ชีรุ่ง คุณแม่ชีน๊อต และท่าน wiweksikkaramhi.5 ติดตามไปด้วยค่ะ

ก่อนออกเดินทาง ท่านพาญาติโยมวางแบบเทปุนรอบพระวิหารพระพุทธเจ้าสิขี

Image
Image

โดยระหว่างการเดินทางในครั้งนี้ พระอาจารย์ท่านได้แวะเยี่ยมญาติโยมที่เป็นลูกศิษย์และญาติ ทั้งที่บ้านและที่รพ.(ใน ICU) ด้วยความเมตตา

ภาพเหตุการณ์ บางแห่งสามารถติดตามได้จากกระทู้อื่นค่ะ

ญาติคุณแม่ชีน๊อต ถวายอุปกรณ์ก่อสร้าง อนุโมทนาสาธุค่ะ _/l\_ _/l\_ _/l\_

Image

พระอาจารย์ให้พร

Image
รายงานข่าวต่อค่ะ หลังจากเพิ่งหาทาง log in เข้ามาใหม่ได้ :D

จากบ้านคุณแม่ชีน๊อต พระอาจารย์ก็พาพวกเราลงเรือข้ามไปเกาะสีชัง คลื่นลมแรง ต้องนั่งด้านล่างของเรือเท่านั้นค่ะ

Image

แล้วพวกเราก็ขึ้นฝั่งได้อย่างเรียบร้อย คำอธิบายมีเพิ่มเติมในกระทู้ของท่าน Wiwek นะคะ :)

จากท่าเรือบน ที่เกาะสีชัง มีรถจากวัดถ้ำยายปริกมารับ พร้อมกับคุณแม่ชีท่านหนึ่ง(ขออภัย เด็กวัดจำชื่อท่านไม่ได้ค่ะ) แล้วพระอาจารย์ก็เมตตาไปโปรดโยมบิดามารดาของคุณแม่ชีรุ่งที่บ้าน (ไม่มีภาพข่าว) แล้วจึงเดินทางต่อไปยังวัดถ้ำยายปริกค่ะ

Image

เมื่อไปถึง สิ่งแรกที่พระอาจารย์ทำ คือพาพวกเราไปกราบท่านเจ้าอาวาส

จากนั้นพระอาจารย์นำพวกเราไปกราบพระในถ้ำยายปริกกัน

Image

ตอนเย็นทำวัตรเย็นแล้วมีการแสดงธรรม โดยพระอาจารย์รับนิมนต์แสดงธรรมเป็นองค์แรกในคืนนั้น

Image

Image

Image

Image

Image

เช้าวันรุ่งขึ้น หลังสวดมนต์ทำวัตรเช้า คุณแม่ชีรุ่งและท่าน wiweksikkaram ก็พาคณะผุ้ติดตามเดินชมสถานที่ต่างๆในวัดถ้ำยายปริก

Image

กราบหลวงตาประสิทธิ์ _/l\_ _/l\_ _/l\_

Image

รูปนี้ตอนที่ถ่ายมืดตึ๊ดตื๋อ..ไม่เห็นไรเลย รอคุณแม่ชีปิดไฟ


ถึงศาลาสัจธรรมตอนฟ้าสว่างพอดี

Image

ได้เข้าไปพิจารณาร่างคุณยายแม่ชี กราบอนุโมทนาในกุศลเจตนาที่อุทิศร่างเป็นวิทยาทานแก่ชนรุ่นหลังด้วยค่ะ _/l\_

จากนั้นก็สำรวจถ้ำวิหาและสถานที่สัปปายะ ที่ผู้ปฏิบัติธรรมใช้เป็นที่บำเพ็ญภาวนา ก่อนเตรียมตัวถวายภัตตาหารเช้า

Image

Image

Image

ถวายภัตตาหารเช้า

Image

ก่อนกลับมีพิธีถวายสังฆทาน และถ่ายรูปหมู่พระภิกษุ แม่ชี และพุทธศาสนิกชนที่มาร่วมงานทำบุญถวายหลวงพ่อประสิทธิ์ในปีนี้

Image

Image
จากวัดถ้ำยายปริก พระอาจารย์นำพวกเรากลับเข้าฝั่งศรีราชา มุ่งสู่รพ.สมเด็จ ณ ศรีราชา เพื่อโปรดลูกศิษย์ท่านหนึ่งที่นอนพักรักษาตัวในห้อง ICU (ไม่มีภาพข่าวค่ะ)

Image

ที่นี่ พระอาจารย์ได้สัมผัสร่างคนป่วยด้วยอาการนิ่งสงบ โดยมีบิดา และภรรยา ตลอดจนเพื่อนของคนป่วยนั่งอยู่ที่พื้น ท่านเทศน์สอนหลายอย่าง เด็กวัดจำได้คร่าวๆ ว่าเป็นเรื่องของกรรมและกฏแห่งกรรม การยอมรับผลที่เกิดจากเหตุ และการรักษาศีล โดยเฉพาะข้อ 5 ค่ะ _/l\_ _/l\_ _/l\_

จากนั้นท่านออกมาโปรดญาติโยมที่หน้าห้องผ่าตัด โดยได้แจกหนังสือและรูปถ่ายพุทธานุภาพ ประชาชนอื่นที่มาเยี่ยมไข้ ก็มากราบขอหนังสือและรูปภาพด้วย

Image

จากรพ.สมเด็จ ณ ศรีราชา พระอาจารย์เดินทางต่อไปยังนิคมอุตสาหกรรม มาบตาพุด ระยอง เพื่อไปแสดงธรรมที่บริษัท SCG ค่ะ

Image

พนักงานเข้าฟังเต็มห้องเลย แต่แอร์ก็ยังเย็นมากกกกกกกก..

Image

หลังจากแสดงธรรมเสร็จ ทางเจ้าภาพได้นิมนต์พระอาจารย์ไปกราบพระพุทธรูปแทนพระองค์สมเด็จองค์ปฐมที่บริษัทสร้างขึ้น

Image

จากนั้น พระอาจารย์และผู้ติดตามส่วนหนึ่ง พักที่บ้านของท่านเจ้าภาพ เพื่อรับถวายภัตตาหารเช้าในวันรุ่งขึ้นด้วย (ไม่มีภาพข่าวนะคะ เพราะผู้สื่อข่าวแยกมาประจำการบ้านคุณวัฒน์ และคุณมดแดง ลูกศิษย์อีกท่านซึ่งเป็นที่สำหรับเตรียมถวายเพลในวันรุ่งขึ้น)

Image

ที่บ้านที่เตรียมถวายเพล มีญาติโยมมารอกราบพระอาจารย์หลายกลุ่ม มีคุณยายแม่ชีท่านหนึ่งด้วยค่ะ

Image

Image

Image

Image

Image


กราบพระอาจารย์ด้วยเศียรเกล้า _/l\_ _/l\_ _/l\_

จบข่าวด้วยภาพนี้ค่ะ :P :P :P

Image
wiweksikkaram.hi5
 
จำนวนผู้ตอบ: 114
สมัครสมาชิก: Mon Mar 15, 2010 12:20 am
ที่อยู่: สุทธาวาสภูมิ

Re: ข่าวกิจนิมต์พระอาจารย์ วันที่ 6-11 มีนาคม 2554

Postโดย ศิษย์พระอาจารย์ » Thu Apr 07, 2011 2:37 pm

:lol: สาธุ กับการรายงาน + ภาพข่าว อย่างละเอียดเจ้าค่ะ ภาพสุดท้ายจบด้วยภาพข้าวเหนียวมะม่วง น่าทาน และขอบอกอร่อยมาก...มาก เจ้าค่ะ :lol:
ศิษย์พระอาจารย์
 
จำนวนผู้ตอบ: 27
สมัครสมาชิก: Fri Apr 09, 2010 12:26 pm

Re: ข่าวกิจนิมนต์พระอาจารย์ วันที่ 6-11 มีนาคม 2554

Postโดย กัปตัน » Thu Apr 07, 2011 5:36 pm

สาธุครับ
กัปตัน
 
จำนวนผู้ตอบ: 36
สมัครสมาชิก: Thu Apr 08, 2010 1:44 am

Re: ข่าวกิจนิมนต์พระอาจารย์ วันที่ 6-11 มีนาคม 2554

Postโดย wiweksikkaram.hi5 » Sun Apr 10, 2011 5:44 am

พระธรรมเทศนาพระอาจารย์ วิชัย กัมมสุทโธ เมตตาแสดงธรรม ณ วัดถ้ำยายปริก วันที่ 8 มีนาคม 2554 เนื่องในงานบูชาคุณ หลวงพ่อประสิทธิ์ ถาวโร

เรื่องที่ 81 ทางเดินออกจากตาข่ายมาร

81 ทางเดินออกจากตาข่ายมาร - 8 มี.ค. 54.mp3
wiweksikkaram.hi5
 
จำนวนผู้ตอบ: 114
สมัครสมาชิก: Mon Mar 15, 2010 12:20 am
ที่อยู่: สุทธาวาสภูมิ

Re: ข่าวกิจนิมนต์พระอาจารย์ วันที่ 6-11 มีนาคม 2554

Postโดย วิเวก » Fri May 13, 2011 7:45 am

“ทางเดินออกจากตาข่ายมาร”
เทศน์ที่ วัดถ้ำยายปริก อ.เกาะสีชัง จ.ชลบุรี
พระอาจารย์วิชัย กัมมสุทโธ ๘ มีนาคม ๒๕๕๔ (เย็น)

ขอโอกาสพระเถรานุเถระ เจริญพร เพื่อนสหธรรมิกทั้งหลาย อุบาสก อุบาสิกา วันนี้อาตมภาพได้รับความเมตตาจากท่านเจ้าอาวาส หลวงพ่อนพดล นิมนต์ขึ้นแสดงธรรม เพื่อฉลองคุณของหลวงพ่อประสิทธิ์ ถาวโร ซึ่งเป็นครูเป็นอาจารย์ของเรา การมรณภาพของหลวงพ่อประสิทธิ์ ถาวโรนั้น เมื่อครบกำหนด ทางวัดถ้ำยายปริกก็ได้จัดปฏิบัติธรรมทำบุญกุศล เพื่ออุทิศเป็นอาจาริยบูชาต่อองค์หลวงพ่อประสิทธิ์ ถาวโร การบูชานั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ มีอยู่ ๒ อย่าง อามิสบูชากับปฏิปัตติบูชา อามิสบูชานั้นถ้าเปรียบเสมือนต้นไม้ก็เหมือนเปลือก ปฏิปัตติบูชานั้นเปรียบเสมือนกระพี้กับแก่น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้สรรเสริญปฏิปัตติบูชาเหนืออามิสบูชา แต่พระองค์ก็ไม่ได้ปฏิเสธอามิสบูชา เพราะต้นไม้นั้นจะเจริญงอกงาม แม้แต่ไม้แก่น เมื่อเจริญครั้งแรกก็มีแค่เปลือก กระพี้ก็ยังไม่ค่อยมี แก่นก็ไม่มี เมื่อโตขึ้นเปลือกกระพี้ก็เจริญขึ้นแล้วก็แก่นตามมา ของทุกอย่างในโลกนี้มีความสัมพันธ์กันอยู่ มีเหตุต่อเนื่องกันอยู่เป็นสาย ปฏิปัตติบูชานั้นเป็นประโยชน์จริง อามิสบูชานั้นก็เป็นประโยชน์ เพราะอามิสบูชานั้นถ้าจิตนั้นไม่มีความเสียสละในวัตถุสิ่งของ ก็ไม่สามารถที่จะเจริญทานนั้นออกมาได้ ผู้ที่ปฏิบัติธรรมเห็นแจ้งความจริงในใจแล้ว เห็นถึงขันธ์ ๕ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่มีแก่นสาร ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา ถ้าเห็นแจ้งถึงขั้นนั้นท่านจะมีแต่คำว่าเสียสละ เหตุใดจึงพูดเช่นนั้น เพราะผู้ที่เจริญสติสมาธิปัญญาจนไปสุดสายแล้ว เมื่อเห็นทุกอย่างไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา ปล่อยวางได้ ธาตุขันธ์นั้นยังอยู่เนื่องจากลมยังอยู่ แล้วท่านจะทำอะไร สติปัญญาตัวนั้นน่ะจะทำประโยชน์ จะเสียสละทุกอย่างเพื่อประโยชน์ ประโยชน์ทั้งตนซึ่งได้แล้ว ประโยชน์ของผู้อื่น ไม่ว่าวัตถุรูปธรรมนามธรรมจะทำไปเพื่อประโยชน์ จึงตรงกับปัจฉิมโอวาทของพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ “สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมสิ้นไปเป็นธรรมดา” มันเป็นสัจจธรรมเป็นความจริงแขนงหนึ่งของสังขาร “เธอจงยังประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท” ประโยชน์ตนได้ประโยชน์ท่านได้ ประโยชน์ท่านได้ประโยชน์ตนได้ มันแยกไม่ออก เพราะอะไร เพราะโลกนี้เป็นโลกของเหตุปัจจัย เหตุปัจจะโย มีเหตุปัจจัยเนื่องกันอยู่ ไม่ใช่อยู่เดี่ยวๆแยกกัน เมื่อประโยชน์ตนได้ประโยชน์ผู้อื่นก็ได้ ประโยชน์ผู้อื่นได้ประโยชน์ตนได้ ผู้ที่ท่านไม่มีสิ่งที่จะเอาแล้ว ท่านจึงทำเพื่อประโยชน์ จะสมมติว่าทำงานด้วยจิตว่างก็ได้ จะไม่สมมติก็ได้ แต่ทำเพื่อเสียสละเพื่อประโยชน์ จะสมมติว่าเพื่อกิจพระศาสนาก็ได้ จะไม่สมมติก็ได้ เพราะจิตดวงนั้นมีสติปัญญารอบคอบ มองเห็นถึงอรรถถึงธรรมของแต่ละส่วนๆ ท่านจะทำอะไรทุกอย่าง ไม่ใช่ทำด้วยความต้องการจะทำ ท่านจะทำอะไรทุกอย่าง ไม่ใช่ทำด้วยความไม่ต้องการจะทำ สิ่งที่ท่านจะทำ เหตุนั้นสมควรทำหรือไม่ เหตุใดสมควรทำก็ทำ เหตุไม่สมควรทำก็ไม่ทำ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสไว้ “ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ เมื่อเหตุดับผลก็ดับ พระตถาคตเจ้าตรัสธรรมนั้นและเหตุแห่งธรรมนั้น” ท่านทำไปตามเหตุปัจจัย เหมาะสมพอดิบพอดีในเหตุปัจจัยนั้น จึงเป็นมัชฌิมาปฏิปทา คำว่ามัชฌิมาปฏิปทานั้นจะต้องพอดีในเหตุปัจจัย ในสภาวธรรมแต่ละลักษณะแต่ละอย่าง เหตุนั้นถ้าเราสังเกตให้ดี เวลาหลวงพ่อประสิทธิ์ ถาวโรท่านมีชีวิตอยู่ ท่านพยายามจะให้เราทันปัจจุบัน คำว่าทันปัจจุบันนั้นจะต้องมีสติตั้งมั่น มีสมาธิตั้งมั่น คำว่าสมาธิตั้งมั่นคือความไม่หวั่นไหว ไม่ลงไปเล่นในสิ่งที่มาสัมผัสสัมพันธ์ที่ใจ มีปัญญาตั้งมั่นสามารถยกสิ่งที่มาสัมผัสสัมพันธ์ใจนั้นขึ้นวิจัย ขึ้นพิจารณาเห็นถึงเหตุถึงผลของสิ่งนั้น เมื่อท่านเห็นถึงเหตุถึงผลของสิ่งนั้นแล้ว ความเห็นนั้นจึงเป็นสัมมาทิฏฐิ จิตที่เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อมีความเห็นถูกย่อมมีความดำริคือความคิดถูก เมื่อมีความดำริถูกก็มีความพูดถูก ทำถูก ท่านจึงตรัสไว้ในองค์มรรค ๘ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมาอาชีวะ สัมมากัมมันตะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ เหตุนั้นการที่เราจะเดินมรรค ๘ นั้น ต้องทำความเห็นให้ตรงต่อสัจจธรรม เมื่อเห็นถูกก็คิดถูกพูดถูกทำถูก ถูกไปตลอดสาย เมื่อเห็นผิดก็คิดผิดพูดผิดทำผิด ผิดไปตลอดสาย แล้วอะไรมาเป็นตัวชี้วัดมาเป็นตัวบอก ว่าสิ่งที่เราทำนั้นมันเห็นถูกหรือเห็นผิด เหตุนั้นหลวงพ่อเคยพูดไว้ ไฟอะไรรับรองมัน ความร้อนน่ะมันรับรองไฟอยู่ในตัวมัน ท่านก็บอกเรื่อย ทุกข์มันรับรองสมุทัย นิโรธะคือความดับทุกข์ความไม่ทุกข์มันรับรองมรรคอยู่ ผู้ใดมีสติมีสมาธิมีปัญญา เห็นจิตเห็นกาย เห็นตั้งแต่หัวจดเท้า เห็นถูกความทุกข์ย่อมเบาบาง เห็นผิดความทุกข์ย่อมเกิด เมื่อทุกข์เกิดท่านกล่าวไว้ในไตรปิฎก ทุกข์เป็นของที่ควรกำหนด ให้ใช้สติกำหนดดูทุกข์นั้นน่ะ ทุกข์นั้นเป็นผล ไม่ได้ให้ละทุกข์นะ ให้กำหนดดูทุกข์ การกำหนดดูทุกข์นั่นล่ะคือการเจริญเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน ทุกข์เป็นของที่ควรกำหนด สมุทัยสาเหตุแห่งทุกข์เป็นของที่ควรละ ท่านให้ละสมุทัย เมื่อละสมุทัยความทุกข์ก็จะดับไปนั่นเอง เพราะเหตุดับผลดับ เหตุเกิดผลเกิด เมื่อมีสิ่งนี้เกิดย่อมต้องมีสิ่งนี้เกิด เมื่อไม่มีสิ่งนี้ย่อมไม่มีสิ่งนี้ อันนี้อยู่ในปฏิจจสมุปบาทที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ เหตุนั้นเราต้องมองย้อนกลับมาที่กายที่ใจ โดยเฉพาะที่ใจเรานั่นเอง ถ้าทุกข์เกิดมันรับรองในตัวมันอยู่แล้ว อันนี้หมายถึงทุกข์ใจ ต้องมีเหตุคือสมุทัยแน่นอน ค้นให้เจอ เมื่อค้นเหตุเจอเมื่อไหร่นั้นคือเดินมรรค เมื่อเจอเหตุความทุกข์นั้นจะดับทันที นั้นคือนิโรธะเป็นตอนๆๆของเขาจนถึงนิโรธะสมบูรณ์นั่นเอง เหตุนั้นอริยสัจ ๔ เดินอยู่ในจิต ไม่ได้เดินอยู่ในภูเขาเลากา ไม่ได้เดินอยู่ในบ้านช่อง ไม่ได้เดินอยู่ในรถในรา แต่เดินอยู่ในจิตของคนทั้งหลายนั่นเอง มนุษย์ทั้งหลายนั่นเอง การปฏิบัติธรรมหัวใจของพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าตรัสรู้เรื่องอริยสัจ ๔ ทีนี้ทุกข์เมื่อกำหนดดู กำหนดดูทุกข์ ผู้ที่ไม่ได้ฝึกฝนอบรมตนเอง ไม่เจริญสติ ไม่เจริญสมาธิ ไม่เจริญปัญญาตั้งมั่น เวลาทุกข์เกิดก็จะไปตามนิสัยที่ตนเองเคยเป็น นิสัยที่เคยเป็นก็คืออนุสัยนั่นเอง สิ่งใดชอบใจพอใจก็อยากได้แสวงหา เป็นภวตัณหาเป็นกามตัณหา สิ่งใดไม่ชอบใจเป็นทุกข์ ก็อยากผลักไสไล่ส่งเป็นวิภวตัณหา การไม่รู้ถึงความจริงของสิ่งนั้น หลงเข้าไปในสิ่งนั้น นั่นคือความหลงนั่นเอง คืออวิชชานั่นเอง เหตุนั้นผู้ปฏิบัติธรรมต้องเตือนตนเอง อัตตะนา โจทะยัตตานัง ตนเตือนตน ตนเตือนตน ตนสอนตน ตนฝึกตน ไม่มีใครจะเตือนเราได้ เพราะเตือนเราแล้วถ้าจิตนั้นยังประกอบด้วยอวิชชา ประกอบด้วยกิเลสมาก เมื่อใครเตือนก็ย่อมขัดข้องขัดเคืองไม่ยอมรับ ถ้าจิตนั้นมีธรรมมากเข้าไป ใครพูดใครเตือนก็จะฟังเป็นอรรถเป็นธรรม สิ่งใดถูกต้องเป็นธรรมเอาไปใช้ สิ่งใดไม่ถูกต้องเป็นธรรมก็วางทิ้ง ไม่ขัดข้องขัดเคือง เพราะฟังเอาประโยชน์ ฟังเอาอรรถฟังเอาธรรม เหตุนั้นในพุทธพจน์พระพุทธเจ้าจึงตรัสไว้ สุสสูสัง ละภะเต ปัญญัง การฟังด้วยสติพินิจพิจารณาด้วยดี ย่อมเกิดปัญญานั่นเอง เหตุนั้นไม่ว่าการจะฟัง การจะทำอะไรทุกอย่าง ถ้ามีสติตามรู้ตามเห็นอยู่ ฟังก็รู้ว่าพูดเรื่องอะไร อรรถธรรมอยู่ตรงไหน สติจะระลึกตาม ปัญญาจะวิจัยตาม เมื่อวิจัยตามก็จะเห็นถึงอรรถถึงธรรมในสิ่งนั้น เมื่อเห็นถึงอรรถถึงธรรมในสิ่งนั้น นั่นล่ะปัญญาจึงจะเกิด การฝึกสติฝึกสัมปชัญญะคือความรู้ตัว ฝึกสมาธิเพื่ออะไร เราได้พินิจพิจารณาถามตนเองไหม หรือเขาพาทำก็ทำตาม มันมีอยู่บทหนึ่งในสังโยชน์ ๓ สีลัพพตปรามาส ลูบคลำศีลพรต การทำโดยไม่พินิจพิจารณาใช้สติใช้ปัญญา ผลแห่งการกระทำนั้นก็ไม่ได้เต็มร้อย เพราะทำด้วยเขาพาทำ ไม่ได้ทำเพราะเหตุผลว่าควรทำ การทำอะไรทุกอย่างทำเพราะควรทำ ไม่ทำเพราะไม่ควรทำ ทำเพราะไม่ใช่อยากทำ ไม่ทำเพราะไม่ใช่ไม่อยากทำ เหตุปัจจัยตรงนั้นต่างหากเป็นตัวกำหนด เป็นตัวชี้เป็นตัวบอก เหมือนไฟมันรับรองในตัวมันคือความร้อนนั่นเอง ผู้มีสติมีปัญญาทันปัจจุบัน จะพินิจพิจารณาเหตุปัจจัยตรงนั้น ปัจจุบันธรรมนั่นเอง จะไม่ทำด้วยตัณหา ไม่ทำด้วยทิฏฐิคือความเห็น เห็นว่าอย่างนี้ดีอย่างนั้นดีอย่างนั้นดี ควรอย่างนั้นควรอย่างนี้ เพราะทิฏฐิของผู้ปฏิบัติใหม่เป็นมิจฉาทิฏฐิเป็นส่วนใหญ่ เพราะทิฏฐินั้นยังกอบด้วยความเห็นว่าเป็นของกู เป็นตัวกู เป็นตัวตนของกูอยู่ตลอด สติปัญญาไม่แทงตลอดในทิฏฐินั้น พระจุนทะจึงไปถามพระผู้มีพระภาคเจ้า การละทิฏฐินั้นละอย่างใดพระเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคเจ้าได้วิสัชนา “เธอจงพิจารณาทิฏฐินั้น นั่นไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา” แม้แต่ความเห็นนั้นน่ะ ก็ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา พระผู้มีพระภาคเจ้ายังตรัสไว้อีก “ตัณหาทิฏฐิมานะ เป็นธรรมที่เนิ่นช้า เราตถาคตไม่มี เธอทั้งหลายจงละตัณหาทิฏฐิมานะ” ทิฏฐินั้นล่ะคือความเห็น เมื่อเห็นสิ่งใดดีก็อยากได้แสวงหาเป็นภวตัณหา เห็นสิ่งใดไม่ดีก็อยากผลักไสเป็นวิภวตัณหา เป็นโลภะโทสะตลอด ไม่รู้ความจริงในความเห็นตรงนั้น จึงเป็นความหลงนั่นเอง เหตุนั้นศาสนธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นศาสนธรรมของผู้มีปัญญา เราบวชเข้ามาเป็นศากยบุตร ผู้มุ่งหวังเพื่อความพ้นจากกองทุกข์ ต้องพินิจพิจารณาใช้สติปัญญา ทีนี้มันมีอยู่บทหนึ่งท่านพุทธทาสเคยกล่าวไว้ ส่วนใหญ่เราฝึกสติสมาธิเก็บ ฝึกซ้อมแต่ไม่มาใช้ ฝึกซ้อมแต่ไม่มาใช้ นี่ท่านเคยพูดเอาไว้โดยสรุป การนำมาใช้นั้นเราจะต้องมีความเจตนาก่อน ต้องมุ่งก่อน มุ่งว่าเรานี่บวชมานั้นเพื่ออะไร นี้ข้อแรกก่อน หลวงพ่อประสิทธิ์ท่านจึงให้เขียนน่ะ มาบวชเพื่ออะไร ต้องถามตัวเราก่อน ไม่ต้องไปถามผู้อื่น ให้ถามตนก่อน เราบวชมาเพื่ออะไร เพราะการบวชนั้น การเดินทางในวัฏสงสารนั้น เหมือนเรืออยู่ในมหาสมุทร ชีวิตของสัตว์โลกทุกดวง จิตทุกดวงในสามไตรโลกธาตุนี้ เหมือนเรือเดินทางอยู่ในมหาสมุทร มหาสมุทรคือวัฏสงสารนั่นเอง การเดินทางในมหาสมุทร ถ้าไม่มีเสบียง ไม่มีเชื้อเพลิง ไม่มีอาหาร ไม่มีเข็มทิศ ไม่มีจุดหมายปลายทาง ไม่มีความรู้ในการเดินเรือ เรือนั้นเมื่อเจอพายุก็อาจจะอับปาง หรือไม่ก็จะเนิ่นช้าจากจุดหมายปลายทาง ฉันใดฉันนั้น ศาสนธรรมคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นเหมือนแผนที่ให้เราเดินทางให้สั้นลงให้ตรง เหตุนั้นถ้าเราเข้าใจจุดนี้เราต้องถามก่อน อันนี้สำหรับนักบวช พระภิกษุ สามเณร ชีทั้งหลาย ที่บวชมามุ่งหวังเพื่อความพ้นจากกองทุกข์ ต้องถามตนเองก่อนเราบวชมาเพื่ออะไร เราต้องตอบตนเองให้ได้ก่อน ถ้าประโยคนี้ยังตอบไม่ได้ การบวชนั้นโอกาสเป็นหมันจะมาก เราต้องตอบตัวเองก่อน เราบวชมาเพื่ออะไร ถ้าเราบวชมาเพื่อพ้นจากกองทุกข์ เราก็ต้องถามประโยคที่สอง ถามตัวเราเอง ที่เราทำอยู่นี้ เราประพฤติปฏิบัติอยู่นี้ วิธีการทั้งหมดทำไปเพื่อพ้นจากกองทุกข์จริงไหม ต้องถามตนเอง ทำไมจึงกล่าวเช่นนั้นก็เพราะเราเดินทางในมหาสมุทรมันมีภัย พายุเอยอะไรเอยมันเป็นภัยอันหนึ่งในวัฏสงสาร ในชีวิตมนุษย์ก็เช่นกันมันมีภัย การบวชนั้นมันมีภัยมันมีกับดักมีตาข่าย หลวงพ่อประสิทธิ์จึงบอกตาข่ายมาร มันมีกับดักมาก กับดักตัวนี้ล่ะมันจะแอบแฝงออกมาในตัวทิฏฐินั่นเอง ความเห็นนั่นเอง ความเห็นของมนุษย์จะไปตามอะไร ก็ไปตามจากที่เคยเรียนรู้มาตั้งแต่เกิดจนถึงปัจจุบัน ยังไม่ต้องพูดถึงอดีตชาติที่สั่งสมมาอย่างไร ทิฏฐิตัวนี้ล่ะมันจะชักใยอยู่ มันกอบด้วยความหลงจึงชักใยอยู่ สิ่งใดชอบใจก็อยากได้ สิ่งใดไม่ชอบใจเข้าไม่ได้กับทิฏฐิก็อยากผลักไส ตัวนี้จะเป็นกับดัก จึงพิจารณาอรรถธรรมสภาวธรรมตรงปัจจุบันนั้นไม่ได้ ไม่เห็นแจ้งในความจริงของสภาวธรรมตรงนั้น เพราะความหลงนั่นเอง ทิฏฐินั่นเองมันปกปิดเอาไว้ มันไม่เห็นแจ้งมันลำเอียงแล้ว สิ่งใดถูกต้องกับตัวเองนิสัยใจคอความเห็นก็โอเค สิ่งใดไม่ถูกต้องกับความเห็นตัวเองก็ไม่โอเค แต่ไม่ได้พิจารณาอรรถธรรมนั้นว่ามันถูกหรือมันผิด มันตรงหรือไม่ตรง พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสไว้ในกาลามสูตร “อย่าพึ่งเชื่อเพราะทำตามกันมา อย่าพึ่งเชื่อเพราะเล่าขานสืบต่อกันมา อย่าพึ่งเชื่อเพราะมงคลตื่นข่าว อย่าพึ่งเชื่อเพราะคาดคะเน อย่าพึ่งเชื่อเพราะด้นเดา อย่าพึ่งเชื่อเพราะผู้พูดน่าเชื่อถือ อย่าพึ่งเชื่อเพราะผู้พูดเป็นครูของเรา อย่าพึ่งเชื่อเพราะเข้าได้กับความเห็นของเรา” นี่พระองค์ได้เตือนไว้ บอกทางเดินทุกอย่าง บอกถึงกับดักที่มันจะปรากฎให้เราเห็น ที่มันจะดักเราไว้ ทีนี้เรามีสติปัญญาที่จะเห็นหรือไม่ เหตุนั้นอาตมาตอนจะไปสร้างวัดป่าวิเวกสิกขาราม ที่พักสงฆ์ เขาบอกไว้แล้ว เป็นวัดเก่า วัดนี้ไม่ใช่วัดในพุทธศาสนาของพระสมณโคดม เป็นวัดในพระพุทธเจ้ากัสสปะ ทีนี้เขาก็บอกอีก ก่อนจะไปทำทางเข้านี่เขาทำลูกศรชี้ให้ดู สวนกันอย่างนี้ เห็นพระพุทธเจ้าสิขียืนอยู่ตรงวิหารที่กำลังทำอยู่ปัจจุบันนี้ ก็ได้ถามท่านว่า อ้อมไปทางนี้ใช่ไหม แล้วก็เลยมาพิจารณาดู ทำไมท่านถึงทำลูกศรสวนกันอย่างนี้ จึงได้คำตอบว่า กระแสธรรมทวนกระแสโลก กระแสธรรมทวนกระแสโลก กระแสโลก กระแสทิฏฐิ กระแสตัณหา กระแสมานะ ปกปิดสัตว์โลกให้มืดบอดตลอด กระแสธรรมน่ะทวนกระแสโลกออกไป ถ้าเราเข้าใจจุดนี้อย่าประมาท ให้ตามวิจัยกายใจตนเองให้มาก ให้ตามวิจัยกายใจตนเองให้มาก งานของเราไม่ใช่งานข้างนอก ศัตรูของเราไม่ใช่ศัตรูภายนอก ศัตรูของเราพูดโดยสมมติว่าศัตรู ก็คือความหลงความรู้ไม่จริงนั่นเอง งานเรากำลังต่อสู้กับความหลงในตนเอง ไม่ได้ต่อสู้กับข้างนอก อันนั้นเป็นปลายเหตุ ความหลงในตนเองนั่นเอง เหตุนั้นทิฏฐิคือความเห็น เป็นช่องเป็นตาข่ายทำให้เนิ่นช้า เราต้องพินิจพิจารณาให้มาก ให้ใช้สติหยิบขึ้นมาวิจัย ทีนี้สิ่งใดที่เรายังไม่เห็นแจ้งยังไม่รู้แจ้ง สิ่งนั้นเป็นเป้าหมายแห่งการพินิจพิจารณานั่นเอง สิ่งใดเรายังไม่เห็น เรายังหลงในรูปก็ต้องพิจารณารูป เรายังหลงในเวทนาก็ต้องพิจารณาเวทนา เรายังหลงในจิตก็ต้องพิจารณาจิต เรายังหลงในธรรมก็ต้องพิจารณาธรรม การจะพิจารณากายเวทนาจิตธรรมได้นั้น จะต้องมีสติตั้งมั่นมีสมาธิตั้งมั่น เหตุนั้นครูบาอาจารย์ทั้งหลายจึงมีอุบายมีแยบคายมีวิธีการต่างๆ ที่จะให้ลูกศิษย์ฝึกสติฝึกสมาธิเพื่อความตั้งมั่นแห่งจิต แล้วจะได้นำสตินำสมาธินั้นเป็นฐานเป็นบาทเข้ามาวิจัยนั่นเอง วิจัยตัวไหน ถ้าหลงในกายก็ต้องพิจารณากาย หลงในเวทนาต้องพิจารณาเวทนา หลงในจิตต้องพิจารณาจิต หลงในธรรมต้องพิจารณาธรรม ยกสิ่งเหล่านี้ขึ้นวิจัยนั่นเอง ยกขึ้นสู่ไตรลักษณ์นั่นเอง ตั้งแต่หัวจดเท้า ผมขนเล็บฟันหนังที่อุปัชฌาย์ให้กรรมฐานเดิมนั่นเอง ยกขึ้นมาวิจัย สิ่งเหล่านี้มาจากไหน วิจัยตั้งแต่เกิดในท้องแม่ เกิดได้อย่างไร ก็ต้องวิจัยการเกิดก่อน ตั้งแต่เซลล์พ่อเซลล์แม่ เขาเรียกว่าไข่กับอสุจิ ๑ เซลล์ผสมกันเป็น ๑ เซลล์ แล้วแบ่งตัวไปอีกหลายๆเซลล์ขึ้นมา การแบ่งตัวนั้นอยู่ในท้องแม่ อะไรทำให้เจริญเติบโตขึ้นแบ่งตัวขึ้น ก็อาหารนั่นเอง ผ่านทางรกแม่ไปสู่ลูก เราต้องวิจัยก่อน ทีนี้พอคลอดออกมา เด็กเติบโตด้วยอะไร ก็นมแม่นมวัว โตขึ้นมาก็อาหารคาวหวาน นี่เราวิจัย เหตุนั้นอาหารคาวหวานมันมาจากไหน เซลล์หนึ่งเซลล์มันมาจากไหน มันก็มาจากอาหารคาวหวาน คือธาตุทั้ง ๔ นั่นเอง ธาตุทั้ง ๔ นั้นมันของใคร ให้วิจัยลงไปซิ เวลาเงียบๆ ยกขึ้นวิจัย ธาตุทั้ง ๔ มันของใคร อาหารคาวหวานเป็นของใคร มันมีตั้งแต่ก่อนเราเกิดนะ เราเกิดก็มี เราตายไปแล้วก็ยังมีอยู่ มันเป็นของประจำโลกอยู่ เมื่ออาหารเป็นของประจำโลก แล้วมันจะเป็นของเราได้อย่างไร เมื่อมันไม่ใช่ของเรา มันมาเป็นเซลล์เนื้อเซลล์หนังของเราแล้ว มันเซลล์เนื้อเซลล์หนังจะเป็นตัวเราได้อย่างไร เป็นของเราได้อย่างไร นี่ยกมันขึ้นสู่วิจัย ถ้าวิจัยแล้วเห็นแจ้งแล้ว มันจะเห็นถึงความเป็นอนิจจังทุกขังอนัตตาของรูปนั่นเอง เราไม่ได้ต้องการอนิจจังทุกขังอนัตตาของรูป เราต้องการความจริงของรูป ก็คืออนิจจังทุกขังอนัตตาเพื่อความปล่อยวางนั่นเองในรูป อนิจจังทุกขังอนัตตาเป็นอุปกรณ์อันหนึ่งเพื่อปล่อยวางอุปาทานในรูป พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสไว้ อุปาทานในขันธ์ ๕ เป็นตัวทุกข์ รูปูปาทานักขันโธรูปเป็นอุปาทานขันธ์ เพราะมันยึดหัวจดเท้าน่ะเป็นของเราเป็นตัวเราตลอด แม้แต่ไปบริจาคเลือดก็เลือดเรา มันยึดไปหมด มันยึดก็เพราะอะไร ก็เพราะมันหลงนั่นเอง หลงเพราะอะไร ก็เพราะไม่ได้วิจัยไม่เห็น ไม่เห็นก็ต้องหยิบขึ้นมาวิจัย เมื่อวิจัยแล้วก็จะเห็นความจริง เมื่อเห็นความจริงความปล่อยวางมันมาเองไม่ต้องไปหา พยายามไปบังคับปล่อยวางมันยังเป็นอัตตาอยู่ ให้พิจารณาให้เห็นความจริงคือสัจจธรรมของสิ่งนั้น ความปล่อยวางเป็นผลเอง ไม่ต้องไปอยากให้มันปล่อยวาง วิจัยความจริงของรูปนั้นให้เห็นแจ้ง เมื่อมันทะลุรูปเข้าไปมันจะเข้าสู่ตัวนามเอง สติสัมปชัญญะที่ฝึกไว้มากแล้ว การวิจัยนี้เป็นทั้งการฝึกตัวสติสัมปชัญญะ เป็นทั้งการฝึกตัวปัญญาอยู่ในตัว เป็นทั้งการเปรียบเสมือนนักมวย การขึ้นชกมวยเท่ากับการฝึกซ้อมอยู่ในตัว การชกกระสอบทรายอย่างเดียว แม่ไม้ยังสู้การขึ้นชกจริงไม่ได้ เหตุนั้นทางโลกถ้าเราเห็นการขึ้นชกมวยไต่ลำดับ เขาก็ต้องเรียกมวยมาซ้อมมาชกแข่งขันไล่ลำดับขึ้น การชกจริงนั่นล่ะก็คือการฝึกทั้งตัวสติ ฝึกทั้งตัวสมาธิ ฝึกทั้งตัวปัญญา เหตุนั้นเราต้องยกขึ้นมาวิจัย มันยังหลงในตรงไหน หลงไม่หลงรู้ได้อย่างไร ก็ดูกลางอกเราสิ ดูกลางอกนี่มันจะบอกของมันเองถ้าคนนั้นยุติธรรม คนนั้นไม่มีอคติ ถ้าคนมีอคติมันจะไม่เห็น เพราะมันเป็นของกูตัวกูหมด ของกูตัวกูหมดมันก็ไม่เห็น ถ้ามันไม่ใช่ของกูมันแยกกันออกมันจะเห็น ของถ้ามันไปด้วยกันอย่างนี้มันไม่มีทางเห็น ถ้ามันแยกอยู่ ตัวหนึ่งเป็นตัวดูตัวหนึ่งเป็นตัวถูกดูมันจะเห็น เหตุนั้นต้องยกมันขึ้นวิจัย ทีนี้ถ้ามันผ่านรูปตัวนี้ไปได้มันจะเข้าสู่ตัวนามโดยอัตโนมัติ ตัวนามนั่นล่ะมันจะเข้าสู่ตัวสัญญา รู้จักตัวสัญญาทีนี้มันจะเรียนรู้ตัวสัญญาตัวสังขาร แล้วก็จะสาวเข้าไปสู่ตัววิญญาณนั่นเอง สาวเข้าไปอยู่ในจิตนั่นเอง มันจึงจะรู้ว่ากิเลสมันเกิดที่ไหนมันดับตรงไหน นี่เมื่อสาวละเอียดเข้าไปมันจึงจะรู้ว่า แม้แต่รูปมันก็ไม่มีอยู่ในนาม เหตุนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสสอนมาลุงกยบุตร “รูปที่เธอเคยเห็นเธอก็ไม่เคยเห็น แม้แต่รูปที่เธอกำลังเห็นอยู่นี้เธอก็ไม่ได้เห็น” ไม่มี เพราะอะไร หลวงพ่อประสิทธิ์เคยพูด ที่เราเห็นอยู่เพราะแสงสว่าง หลงแสงสว่าง แสงสว่างนั้นเมื่อไปกระทบรูปสะท้อนเข้ามากระทบตา เมื่อกระทบตาเข้าสู่จอประสาทตา แสงสว่างนั้นน่ะ พลังงานแสงจะเปลี่ยนเป็นพลังงานเคมีที่เซลล์ROD and CONE พลังงานเคมีจะเปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้า ตามกระแสประสาทตาเข้าไปสู่สมองนั่นเอง แล้วมันจึงจะไปสร้างความรู้เกิดขึ้น แล้วก็จะไปตัวสัญญาเกิดขึ้นหมายเป็นภาพเกิดขึ้น เหตุนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสไว้ “เธอไม่เคยเห็นรูป แม้แต่รูปที่เธอเห็นอยู่ปัจจุบันเธอก็ไม่ได้เห็น” เพราะอะไร เพราะสิ่งที่เราเห็นมัน เรารู้มานี้เราไม่ได้เห็นน่ะรูป มันเป็นขบวนการสุดท้ายแล้ว มันเป็นตัวสัญญาตัววิญญาณตัวสังขารเท่านั้นที่มันทำให้จิตมันรู้ มันลึกถึงขั้นนั้น เพราะนั้นผู้ถ้าวิจัยละเอียด ผ่านตั้งแต่รูปเข้าไป เวทนาเข้าไป สัญญาสังขารวิญญาณเข้าไปจะรู้จะเห็นตรงนี้ มันจึงเห็นถึงความไม่มีตัวตนในนั้นนั่นเอง เหตุนั้นวันนี้มีโอกาสที่มาถ้ำยายปริก ก็จึงมาแนะนำบางอย่าง เพื่อเป็นข้อคิด ข้อเตือนสติแก่เหล่าสหธรรมิกทั้งหลาย ซึ่งเป็นลูกพ่อเดียวกัน ให้มีสติพินิจพิจารณา สิ่งใดมีอยู่แล้ว พิจารณาแล้วก็อนุโมทนา สิ่งใดที่ยังลืมพิจารณา ก็ขอให้นำไปขบคิด ไปพิจารณาไปสังเกตแยบคายในจิตตนเอง ทีนี้ญาติโยมทั้งหลาย การที่เรามาบวชชีพราหมณ์นั้นก็เพื่อทำความดีนั่นเอง ความดีก็มีอยู่ ๓ ทานก็เป็นความดีอันหนึ่ง ศีลก็เป็นความดีอันหนึ่ง ภาวนาก็เป็นความดีอันหนึ่ง หลวงพ่อประสิทธิ์กล่าวไว้เรื่อยคือการเพาะชำไว้ การที่เราเสียสละงานการภายนอกออกไป มาบวชชีพราหมณ์ประพฤติปฏิบัติก็เพื่ออะไร เพื่อมาทำความดีให้เกิด มาภาวนาหาความดีเข้าสู่ใจ ทานศีลภาวนานั่นล่ะคืออริยทรัพย์ ทรัพย์ภายใน พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ “การเกิดเป็นมนุษย์เป็นของหาได้ยาก” การเกิดเป็นมนุษย์เป็นของหาได้ยาก ทำไมท่านจึงตรัสเช่นนั้น เพราะมนุษย์ภูมิมนุษย์นี้จะเกิดมาต้องมีคุณสมบัติคือบุญกุศลอันหนึ่ง จิตทุกดวงในสามไตรโลกธาตุนี้ไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์ทั้งหมด บางคนบางดวงอยากเกิดเป็นมนุษย์ก็เกิดไม่ได้อยู่ข้างล่าง เกิดไม่ได้เพราะไม่มีบุญกุศล เหตุนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสไว้ “การเกิดเป็นมนุษย์เป็นของหาได้ยาก” อาการ ๓๒ เขาเรียกว่ามนุษย์สมบัติ มนุษย์สมบัติเป็นสมบัติอันเลิศ เป็นสมบัติอันเลิศที่เราได้มาเป็นสมบัติแรก มนุษย์สมบัติสามารถไปสร้างสวรรค์สมบัตินิพพานสมบัติได้ สร้างทรัพย์สมบัติภายนอกได้ เหตุนั้นเราได้ภูมิที่เลิศที่หาได้ยากแล้วนี้ข้อที่ ๑ ข้อที่ ๒ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ “การเจอพระสัทธรรมคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นของหาได้ยาก” เพราะพระพุทธเจ้าจะตรัสรู้แต่ละพระองค์นั้น ปัญญาธิกะปัญญานำ ต้องสั่งสมบารมี ๒๐ อสงไขยแสนมหากัป จึงจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าหนึ่งพระองค์ สัทธาธิกะศรัทธานำ ต้องสร้างบารมี ๔๐ อสงไขยแสนมหากัป จึงจะได้เป็นพระพุทธเจ้า พวกขันตินำ(วิริยาธิกะ)ต้องใช้ ๘๐ อสงไขยแสนมหากัปจึงจะได้สำเร็จ ธรรมะที่มาเจอที่เรามาพบเราดูเหมือนว่าเราได้มาเจอง่ายๆ ถ้าในสมัยที่พระศาสนาไม่เกิดขึ้น พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ได้มาตรัสรู้ เราจะไม่รู้จักหลักธรรมที่เราได้เรียน ไม่ว่านักธรรมตรีโทเอก ธรรมศึกษาตรีโทเอกจะไม่รู้ แม้แต่ตัวสติอย่างไรก็ไม่รู้ สติปัฏฐาน ๔ ก็ไม่เคยได้ยิน เหตุนั้นพระสัทธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเกิดได้ยาก เมื่อเกิดมาแล้วเราได้มาพบเป็นบุญลาภอันหนึ่ง เป็นบุญลาภอันหนึ่งเป็นของหาได้ยาก แม้แต่ในยุคปัจจุบันเราอาจจะว่าไม่ใช่ อาตมามีลูกศิษย์คนหนึ่งเป็นพยาบาล แต่งงานกับทหารจีไอ อเมริกาคนแก่ เขาไม่มีศาสนา เขามาเล่าให้ฟัง แม้แต่นั่งสมาธิทำทานยูทำไปทำไม มันมีถึงขั้นนั้นนะ แต่เราเกิดในประเทศไทยในพุทธศาสนาอาจจะไม่เคยได้ยิน ก็เลยคิดว่ามันไม่มี แม้แต่ในโลกใบนี้ยังมีอยู่ เหตุนั้นทำไมพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสเช่นนั้น ก็เพราะว่าเตือนเราอย่าประมาท เราได้สมบัติคือมนุษย์สมบัติอันหาได้ยากแล้ว เราได้มาเจอพระสัทธรรมคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า อันหาได้ยากแล้วอย่าประมาท ให้นำมนุษย์สมบัตินั้นมาเปลี่ยนเป็นอริยทรัพย์ คือทานศีลภาวนานั่นเอง อันนี้ให้เข้าใจ อย่าปล่อยโอกาสอย่าทิ้งโอกาส ที่เราได้สมบัติอันเลิศแล้ว ได้สิ่งที่หาได้ยากแล้ว ทีนี้พระองค์ยังตรัสไว้อีก “ไฟจะไหม้บ้านให้รีบขนสมบัติออกจากบ้าน” คำว่าไฟไหม้บ้านหมายความว่าลมดับ เมื่อลมดับมนุษย์สมบัติก็เป็นเถ้าถ่าน ทรัพย์สมบัติก็ให้คนอื่นหมด จะตั้งใจให้หรือไม่ตั้งใจให้ก็เอาไปไม่ได้ เขาเอาหมด นี่ อันนี้เอาไปไม่ได้สักอย่าง เมื่อเราเห็นตรงนี้ ต้องเอามนุษย์สมบัตินั้นมาทาน มาศีล มาภาวนาเป็นอริยทรัพย์ เพื่อเดินทางในวัฏสงสาร ในทะเลมหาสมุทรวัฏสงสารนั่นเอง อาศัยบุญนั่นเองเป็นตัวนำพา เป็นเสบียงกรังในการเดินทาง เหมือนพระบางรูปที่อยู่ที่นี่ อาจจะเคยขึ้นเรือเดินสมุทร มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เขาเคยนิมนต์พวกเราขึ้นไปเจริญพุทธมนต์ เขามีทุกอย่างอยู่ในนั้นหมด เราคงจะเคยเห็น บางรูปที่เคยได้ไป เหตุนั้นเสบียงกรังนั่นคือบุญกุศลนั่นเอง เราต้องสั่งสมไว้จนกว่าเราจะเข้าสู่พระนิพพาน คือฝั่งนั่นเอง ถ้าเรายังไม่เข้าสู่พระนิพพาน บุญกุศลนั่นเอง การประพฤติปฏิบัติการฝึกฝนอบรมตัวเอง จะเป็นอุปนิสัยให้เราเข้ามาเจอพุทธศาสนาอีก ให้เราได้มาประพฤติปฏิบัติจนกว่าเราจะเข้าถึงฝั่งนั่นเอง คือพระนิพพานนั่นเอง เหตุนั้นเมื่อเราได้ยินได้ฟัง ชีวิตเราน้อยนิดสั้นไม่ยาว ร้อยปีไม่ใช่ยาวนาน ให้รีบขวนขวายเปลี่ยนมนุษย์สมบัติทรัพย์สมบัติเป็นอริยทรัพย์ เตรียมตัวที่จะเดินทางจนถึงเป้าหมาย เมื่อถึงเป้าหมายก็ไม่ต้องเดิน ถ้ายังไม่ถึงเป้าหมายก็อาศัยบุญกุศลนั้นน่ะต่อไปจนถึงฝั่งโดยสวัสดิภาพนั่นเอง การมาก็เพื่อจะมาพูดของเก่าๆนั่นเอง เพื่อจะมาให้เราได้ยินได้ฟังของเก่าๆ เพื่อเป็นข้อคิดข้อเตือนสติของเราเหล่าพุทธบริษัททั้งหลาย ถ้าเรามีข้อคิดข้อเตือนสติตนเรื่อยๆ ธรรมะไม่ยากไม่ห่างไกล เหมือนในสมัยพุทธกาล มีพระรูปหนึ่งเป็นชาวนา เขาเป็นชาวนานะไม่ได้จบปริญญามากมายอย่างเรา เป็นแค่ชาวนา เวลาบวชก็หามไถไปไว้ข้างวัด หามไถไปไว้ข้างวัดเวลาฟุ้งซ่านก็ไปหาไถ พระก็ไปดูอาการของพระรูปนี้ ทำไมออกไปตรงนี้บ่อย ก็สังเกตจับอาการ จนวันหนึ่งจึงถามไม่ไปแล้วหรือ ไม่ไปแล้วไม่ต้องใช้ จึงไปทูลพระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสเรียกหาแล้วถาม เธอทำเช่นนั้นเพื่ออะไร ท่านจึงบอก ผมฟุ้งซ่านกิเลสมันมาก ผมก็เอาไถเป็นครู เอาไถเป็นครูเวลาผมฟุ้งซ่านผมก็ไปหาไถ หาไถผมก็สอนมันน่ะ มึงจะเอาหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินทุกข์ยากลำบากอยู่อย่างนี้อีกหรือ ยังไม่เข็ดหรือ ตายเกิดยังไม่พอหรือ แล้วมันก็หายฟุ้งซ่านกลับมา ผมฝึกฝนอบรมตนเองอยู่อย่างนี้ จนเดี๋ยวนี้จิตผมไม่มีอาสวะกิเลสครอบงำแล้ว ผมไม่ต้องอาศัยไถแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าถึงเปล่งอุทานขึ้นว่า “อัตตะนา โจทะยัตตานัง ดีล่ะ ดีล่ะภิกษุเธอชอบแล้ว” ฉันใดฉันนั้น อันนี้เป็นปฏิปทาของพระอรหันต์ในอดีต เขาสอนตนเองเขาเตือนตนเอง เมื่อเขาสอนตนเองเขาสำเร็จได้ เราก็สอนตนเองเตือนตนเองก็สำเร็จได้ เพราะเราเดินในปฏิปทาที่เขาเดินมาแล้ว เขาทำได้แล้ว ไม่ใช่สิ่งที่เขาทำไม่ได้ ฉันใดฉันนั้น การรู้จักดูตนเอง เตือนตนเอง พิจารณาตนเอง ฝึกตนเอง นั้นเป็นการฝึกสติสัมปชัญญะอยู่ในตัวนั่นเอง การแนะนำวันนี้ก็สมควรแก่เวลาเป็นข้อเตือนสติไม่ให้ประมาท เพราะความตายงานศพทุกครั้ง งานที่เราทำบุญครบรอบการมรณภาพของครูอาจารย์ มันเป็นหลักธรรมอันหนึ่ง คือมรณานุสสติ คือความตายนั่นเอง ความตายเราพิจารณาเพื่ออะไร ก็เพื่อความไม่ประมาทนั่นเอง เหตุนั้นเราจะไม่ประมาทได้เราต้องตนเตือนตน ตนสอนตนเอง ตนพิจารณาตน ตนแก้ไขตนเอง อะไรเป็นฟืนเป็นไฟอยู่ในใจให้ขนออก อะไรเป็นฟืนเป็นไฟในใจให้ขนออก เหมือนเมื่อวานนี้ แนะนำโยมที่มาถาม ขี้น่ะมันถ่ายทิ้งแล้วมันไม่ดีแล้วจะเอามากินอีกไหม เขาบอกไม่กินค่ะ เออจริง แล้วไอ้ความคิดที่มันเป็นอกุศล สิ่งที่มันอกุศลครอบงำจิตอยู่นี่มันดีหรือไม่ดี มันไม่ดีแล้วยังเสพมันอยู่ตลอด มันก็เป็น ๒ มาตรฐานในใจนะ เออจริงอาจารย์หายฟุ้ง แล้วแต่เราจะหยิบอะไรขึ้นมาสอนเรา ขี้เรายังไม่กินน่ะ เพราะมันสกปรกมันไม่ดี แล้วธรรมารมณ์ที่มันเป็นอกุศลน่ะ จะตามมันไปทำไม นี่ล่ะคือคำว่าสติตั้งมั่น คำว่าสมาธิตั้งมั่นอยู่ตรงนี้ คำว่าปัญญาตั้งมั่นอยู่ตรงนี้ เมื่อตั้งมั่นไม่ตามมัน จึงเห็นธรรมสักแต่ว่าธรรม ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา อันตัณหาทิฏฐิอาศัยเกิดไม่ได้นั้นน่ะ เหตุนั้นให้แยบคาย เราเป็นมนุษย์ฉลาดนะ วัวควายเขาฝึกได้ เราก็ฝึกได้ เพราะเราประเสริฐกว่าวัวควาย แต่เรามีแยบคายไหม ที่จะสอนเราเตือนเรา อันนี้ก็ขอยุติแต่เพียงเท่านี้ การแสดงธรรมไม่มีเจตนาที่จะไปดูหมิ่นใคร การแสดงธรรมวันนี้มีเจตนาเดียวเพื่อหวังประโยชน์ จริงๆงานผมยุ่งมาก ท่านเจ้าอาวาสนิมนต์ ผมเห็นแก่ประโยชน์เห็นแก่ครูอาจารย์ ผมก็เลยมาพูดแบบตรงๆ ผมมาเพื่ออยากให้มันเป็นประโยชน์บ้าง จึงมาพูดให้ฟัง เจตนาตรงนี้ไม่มีอย่างอื่น ถ้าสิ่งใดกระทบจิตกระทบใจของเพื่อนสหธรรมิก ญาติโยมทั้งหลาย ให้เกิดขัดข้องขัดเคืองก็ขออภัย อย่าถือโทษโกรธ ถือว่าเรามาเพื่อปฏิปัตติบูชา การปฏิปัตติบูชาเพื่อละโลภโกรธหลงนะ ถ้าเรายังไม่ยอมละโลภโกรธหลง เรามางานวันนี้ไม่มีประโยชน์ เรากำลังหลอกตัวเองด้วย เพราะปฏิปัตติบูชา เรามาบูชาคุณครูบาอาจารย์ ก็เพื่อละโลภโกรธหลงนั่นเอง ก็ขอยุติแต่เพียงเท่านี้ ขอเจริญในธรรมทุกๆท่านทุกๆตนเทอญ.
บางช่วงจากพระธรรมเทศนา โดยพระอาจารย์วิชัย กมฺมสุทโธ
เรื่อง ทำไมทิฏฐิเป็นธรรมที่เนิ่นช้า

อาหารบิณฑบาตฉันก็แก้หมดเหมือนกัน ฉันเพิ่มเติม ตัดส่วนบางส่วนเพิ่มเติม เพื่ออะไร เพื่อเอาสัจจธรรมออกมาพูด แล้วให้ไปขบคิดดูสิ สักวันหนึ่งคำพูดเหล่านี้เขาอาจจะได้ฉุกคิด ไม่ว่าพระชีหรือฆราวาสที่ได้ยินได้ฟัง ถ้าเขาได้ฉุกคิด วันหนึ่งเขาจะรู้ถึงคุณค่ามหาศาลของอาหารบิณฑบาตที่ฉันพาพูด จะรู้ถึงคุณค่ามหาศาลสิ่งที่ฉันเอาออกมา เพราะมันเป็นหญ้าปากคอก มันเป็นส่วนที่ดำเนินเข้าไปสู่ความเป็นอนัตตานั่นเอง เอ้า ก็ขอยุติแต่เพียงเท่านี้ ยะถา วาริวะหาฯ.


บทพิจารณาอาหาร

อาหารบิณฑบาต ที่ได้มาในวันนี้ ได้มาด้วยอานุภาพ คุณแห่งพระพุทธเจ้า ได้มาด้วยอานุภาพ คุณแห่งพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ได้มาด้วยอานุภาพ คุณแห่งพระอริยสงฆเจ้า ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมาก่อน

อาหารนี้ประกอบด้วยธาตุ๔ ดินน้ำไฟลม เป็นของปฏิกูล ไม่เที่ยง เกิดตามเหตุปัจจัย ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง

กายนี้ประกอบด้วยธาตุ๔ ดินน้ำไฟลม เป็นของไม่สวยงาม เกิดตามเหตุปัจจัย ต้องแก่เจ็บตายไป ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา

การฉันอาหารนี้ เพียงแค่อาศัย เพื่อดับความหิว ล้วนแล้วแต่เรื่องเหตุปัจจัย เรื่องของธาตุ
วิเวก
 
จำนวนผู้ตอบ: 37
สมัครสมาชิก: Fri Mar 19, 2010 12:14 am

Re: ข่าวกิจนิมนต์พระอาจารย์ วันที่ 6-11 มีนาคม 2554

Postโดย Thaveepol » Fri May 13, 2011 8:29 am

สาธุการต่อธรรมอันยิ่งที่ท่านได้แสดง
Thaveepol
 
จำนวนผู้ตอบ: 19
สมัครสมาชิก: Fri Apr 02, 2010 9:34 am

Re: ข่าวกิจนิมนต์พระอาจารย์ วันที่ 6-11 มีนาคม 2554

Postโดย slungling » Mon May 16, 2011 3:09 pm

สาธุ สาธุ สาธุ
slungling
 
จำนวนผู้ตอบ: 18
สมัครสมาชิก: Wed Apr 07, 2010 6:19 am

Re: ข่าวกิจนิมนต์พระอาจารย์ วันที่ 6-11 มีนาคม 2554

Postโดย นิรทุกข์ » Tue May 17, 2011 4:46 am

แจ่มแจ้ง ชัดเจน ยิ่งนัก
ขอกราบนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
สาธุ สาธุ สาธุ
นิรทุกข์
 
จำนวนผู้ตอบ: 559
สมัครสมาชิก: Sat Mar 13, 2010 7:46 pm

Re: ข่าวกิจนิมนต์พระอาจารย์ วันที่ 6-11 มีนาคม 2554

Postโดย wiweksikkaram.hi5 » Mon May 23, 2011 4:35 am

รายงานข่าวเพิ่มเติม เรื่องรูปภาพที่มีปรากฎรูปพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)มาช่วยพระอาจารย์แสดงธรรม ณ วัดถ้ำยายปริก จังหวัด ชลบุรี


Image

Image

ภาพนี้มีปรากฎรูปพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)มาช่วยพระอาจารย์แสดงธรรม (ในสี่เหลี่ยมสีแดง)

ทาง คณะมหาพุทธบริษัท สมเด็จพระพุทธเจ้าองค์ปฐม สิขีทศพล ที่ ๑ ได้นำรูปไปให้ ครูแป๋ว (พัชรี),ป้าแดง,ป้าเกษิณี (ตุ้ม) ผู้ที่ได้มโนปยิทธิ ลูกศิษย์หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (ฤาษีลิงดำ) วัดจันทราราม ท่าซุง จังหวัด อุทัยธานี

ได้รับคำยืนยัน ว่าใช่หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (ฤาษีลิงดำ) จริง คุณป้าทั้งสาม ได้กล่าวเพิ่มเติ่มว่า เห็นรูปหลวงพ่อลอยมาจากวิหารแก้ว 100 เมตร (ที่เก็บสรีรังคาร ของ หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (ฤาษีลิงดำ)) มาปรากฏขึ้นเลย แล้วแสดงองค์นั่งในรูป ชัดเจนมาก

wiweksikkaram.hi5
 
จำนวนผู้ตอบ: 114
สมัครสมาชิก: Mon Mar 15, 2010 12:20 am
ที่อยู่: สุทธาวาสภูมิ

Re: ข่าวกิจนิมนต์พระอาจารย์ วันที่ 6-11 มีนาคม 2554

Postโดย ผู้เขียน » Mon May 23, 2011 8:49 am

ขอกราบนมัสการพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ หลวงพ่อพระราชพรหมยาน หลวงพ่อประสิทธิ์ และพระอาจารย์วิชัย ด้วยเศียรเกล้าครับ
"ดูก่อน ทีฆนขะ มนุษย์เรานี้ บุคคลใดได้รับความสุข ก็จะลืมความทุกข์ชั่วขณะ บุคคลใดได้รับความทุกข์ ก็หาความสุขขณะนั้นไม่พบ คนส่วนมาก เมื่อมีทุกข์ มักคิดว่าทุกข์นั้นเป็นสิ่งเที่ยงแท้ เมื่อมีสุข ก็สำคัญว่าสุขนั้นจะอยู่กับเราตลอดไป หาคิดไม่ ว่าเป็นเสมือนการเห็นดวงจันทร์ในขันน้ำ มิอาจคว้าดวงจันทร์นั้นได้ คว้าได้แต่ขันเท่านั้นเอง สุขและทุกข์จึงเป็นของไม่เที่ยง เมื่อเห็นดังนี้แล้ว ผู้มีสติก็ย่อมเบื่อหน่ายทั้งสุขและทุกข์ ย่อมหลุดพ้นจากความยึดมั่นถือมั่น ไม่วิวาททุ่มเถียงกับผู้ใด แม้คำพูดนั้นจะระคายหู ก็ให้มีสติรู้ ว่าเป็นเพียงแค่คำพูดเท่านั้น"(พุทธพจน์)
ผู้เขียน
 
จำนวนผู้ตอบ: 77
สมัครสมาชิก: Sun Mar 14, 2010 12:23 pm
ที่อยู่: 4 Gunnamatta Place, Kelmscott, Western Australia, Australia, 6111

Re: ข่าวกิจนิมนต์พระอาจารย์ วันที่ 6-11 มีนาคม 2554

Postโดย นิรทุกข์ » Mon Jun 06, 2011 10:54 am

หัวข้อธรรมเทศนา ที่ แสดง ณ บริษัท SCG Chemical ระยอง
คือเรื่อง กตัญญูกตเวทิตาคุณ

82 กตัญญูกตเวทิตาคุณ - 9 มี.ค. 54(SCG).mp3
นิรทุกข์
 
จำนวนผู้ตอบ: 559
สมัครสมาชิก: Sat Mar 13, 2010 7:46 pm


กลับไปหน้า ธรรมทาน งานบุญ

ผู้ที่กำลัง online

ผู้ที่กำลังอ่าน forum นี้: สมาชิก ไม่มีสมาชิก และ ผู้เยี่ยมชม 8 คน

cron