โดย wiweksikkaram.hi5 » Tue Oct 19, 2010 7:45 pm
เรื่องของกรรม
คำตอบ จากความเมตตาของท่าน พระอาจารย์ วิชัย ครับ
ตอบ คำถามข้อที่ ๑.๑ – ๑.๒
ตามที่ปรากฏในหนังสือนั้น ท่านไม่ได้บอกว่า โจรที่ทำร้ายพระโมคคัลลานะนั้นเป็นพ่อ-แม่ในอดีตของท่าน หรือเป็นเจ้ากรรมนายเวรของท่าน บอกแต่เพียงว่าท่านใช้กรรมเก่า ซึ่งเป็นเศษกรรม หลังจากที่ท่านไปใช้กรรมในนรกแล้ว คนส่วนมากมักจะเข้าใจว่า การกระทำกรรมต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง เมื่อวิบากกรรม(ผลของกรรม)นั้นให้ผลต่อตน จะต้องถูกคนที่เราทำกรรมไว้กับเขาในอดีตทำคืน อันนี้เป็นความเชื่อเรื่องของกรรมว่า ต้องเป็นบุคคลหรือตัวตนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นเรื่องบุคคล ไม่ใช่วิถีของกรรม แท้จริงแล้วการทำกรรมนั้น เมื่อทำแล้วกรรมนั้นให้ผล ไม่จำเป็นต้องเป็นบุคคลที่เรากระทำต่อเขาในอดีต การที่จะใช้กรรมหรือกรรมนั้นให้ผล ต้องมีองค์ประกอบครบ เรียกว่าเหตุปัจจัยถึงพร้อม คือ 1.เราได้กระทำกรรมไว้แล้วในอดีต 2.กรรมนั้นให้ผลในช่วงจังหวะนั้นพอดี 3.มีเหตุปัจจัย(เช่นเหตุการณ์ องค์ประกอบ และสิ่งแวดล้อมเป็นต้น)ที่จะเอื้อให้เกิดผลของกรรมนั้นต่อเรา เมื่อเหตุปัจจัยถึงพร้อมก็เกิดการใช้กรรมนั้น เหตุนั้นบุคคลหรือเหตุการณ์ที่ให้เราใช้กรรม จะสมมติเรียกว่าตัวแทนแห่งกรรมก็ได้ จึงไม่มีเจ้ากรรมนายเวรที่แท้จริง มีแต่วิถีแห่งกรรม ดังเช่นพระพุทธเจ้า พระองค์ถูกพระเทวทัตกลิ้งหินใส่ พระบาทถูกสะเก็ดหินห้อพระโลหิต อันนี้เป็นการใช้กรรมในอดีตของพระองค์ ที่พระองค์ได้เคยกระทำกรรมต่อน้องชายต่างมารดา เพื่อทรัพย์สมบัติ โดยผลักน้องชายลงเหวและกลิ้งหินใส่ด้วย พระองค์ไม่ได้ทำกรรมในอดีตต่อพระเทวทัต ผลของกรรมนั้นพระองค์ไปตกนรก เศษกรรมถูกพระเทวทัตกลิ้งหินใส่พระบาทห้อพระโลหิต พระองค์ใช้กรรมในอดีต เมื่อใช้กรรมแล้ว กรรมนั้นก็เป็นอโหสิกรรมไป ส่วนพระเทวทัตนั้น ท่านสร้างกรรมกลิ้งหินใส่พระพุทธเจ้าจนพระบาทห้อพระโลหิต จึงต้องไปรับใช้ผลของกรรมในนรกอเวจี การใช้กรรมของพระพุทธเจ้า กับการทำกรรมของพระเทวทัต เป็นคนละเรื่องกัน พระพุทธเจ้ามีเหตุคือกรรมในอดีตให้ผล มีปัจจัยคือพระเทวทัตที่มีจิตปองร้ายพระพุทธเจ้า แต่พระเทวทัตมีเหตุคือโลภโกรธหลง จึงสร้างกรรม อันนี้เป็นเหตุปัจจัยที่ถึงพร้อมพอดีให้พระพุทธเจ้าใช้กรรม แต่ถ้าไม่มีเหตุปัจจัยที่ถึงพร้อม เมื่อถึงเวลากรรมให้ผล กรรมนั้นเมื่อไม่มีโอกาสให้ผล เมื่อผ่านเวลานั้นไป กรรมนั้นจึงเป็นอโหสิกรรมเช่นกัน ส่วนคำว่าเวรหมายถึงผู้มีจิตพยาบาทปองร้าย ทีนี้คำว่าเวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร เป็นการไม่สร้างอกุศลกรรม หมายถึงเมื่อมีผู้พยาบาทปองร้าย(ก่อเวร)แก่เรา เราก็ระงับการพยาบาทปองร้าย(ก่อเวร)ตอบแก่เขา ซึ่งมันเป็นประโยชน์ต่อเรา โดยเราไม่ได้สร้างอกุศลกรรมขึ้น จึงไม่ต้องไปใช้วิบากกรรมนั้นในอนาคต ในปัจจุบันการที่เราไม่ก่อเวรตอบเขานั้น มันทำให้จิตใจเราไม่ทุกข์จากอาฆาตพยาบาท แล้วก็เมตตาที่เราเจริญอาจไปเปลี่ยนจิตใจเขาก็ได้ ส่วนเขาจะไม่พยาบาทปองร้ายเรานั้นขึ้นกับเขาเจริญเมตตา หรือมีสติปัญญาเห็นโทษของพยาบาทปองร้ายหรือไม่ อย่างเช่นเรื่องพระโมคคัลลานะ โจรนั้นกำลังก่อเวรต่อพระโมคคัลลานะ(ไม่ใช่เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร) ซึ่งพระโมคคัลลานะไม่ได้ก่อเวรกับโจรเหล่านั้น เหตุนั้นโจรจึงสร้างอนันตริยกรรมที่เป็นอกุศล จึงต้องไปใช้กรรมในนรก เหตุนั้นเจ้ากรรมนายเวรจึงเป็นสมมติสัตว์บุคคลขึ้นมาเฉยๆ แท้จริงนั้นเป็นเรื่องของอวิชชาตัณหาที่หลอกลวงให้จิตนั้นไปสร้างอกุศลกรรม จึงเรียกว่าไตรวัฏฏ์คือวงจรที่ให้มีการเวียนว่ายตายเกิด ได้แก่ กิเลส - กรรม – วิบาก เหตุนั้นเมื่อกรรมให้ผลให้ยอมรับใช้กรรม และให้สร้างกุศลกรรมใหม่ในปัจจุบันคือทานศีลภาวนา หรือศีลสมาธิปัญญา จึงเป็นการแก้กรรมที่ถูกต้อง อย่างเช่นเมื่อโสดาปัตติมรรคโสดาปัตติผลเกิด ก็ตัดภพตัดชาติจากอสงไขยเหลือแค่อย่างมาก๗ชาติ หรือพระองคุลิมาลท่านฆ่าคนเป็นพัน เมื่อท่านสำเร็จพระอรหันต์ กรรมที่ท่านชดใช้แค่ถูกก้อนหินศีรษะแตกจีวรขาดบาตรแตก ส่วนกรรมที่ต้องไปใช้ในนรกเป็นอโหสิกรรม เพราะอรหัตตมรรคอรหัตตผลเกิด จึงไม่สามารถตามท่านทัน .
ตอบ ข้อ ๒
กรรมมีอยู่ ๓หมวดใหญ่(ธรรมวิภาค ปริเฉทที่ ๒ หลักสูตรนักธรรมโท)
หมวดที่ ๑ กรรมให้ผลตามคราว
๑.ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม กรรมให้ผลในภพนี้(ในอัตภาพนี้นั่นเอง)เป็นกรรมแรงจึงให้ผลทันตาเห็น เมื่อผู้ทำกรรมถึงมรณะไปเสียก่อนถึงคราวให้ผล ย่อมเป็นอโหสิกรรม
๒.อุปปัชชเวทนียกรรม กรรมให้ผลต่อเมื่อเกิดแล้วในภพหน้า จักให้ผลได้เมื่อผู้ทำเกิดแล้วในภพหน้า พ้นจากนั้นแล้วเป็นอโหสิกรรม
๓.อปราปรเวทนียกรรม กรรมให้ผลในภพที่ ๓เป็นต้นไป กรรมที่เบาสุด จักให้ผลในภพที่ ๓เป็นต้นไปจนกว่าจะเป็นอโหสิกรรม
๔.อโหสิกรรม กรรมให้ผลสำเร็จแล้ว เป็นกรรมล่วงคราวแล้วเลิกให้ผล
หมวดที่ ๒ กรรมให้ผลตามกิจ(หน้าที่)
๑.ชนกกรรม กรรมนำให้เกิด
๒.อุปัตถัมภกกรรม กรรมสนับสนุนทั้งกุศลกรรมและอกุศลกรรมของชนกกรรม
๓.อุปปีฬกกรรม กรรมบีบคั้น เป็นกรรมที่ทำให้ชนกกรรมให้ผลไม่เต็มที่
๔.อุปฆาตกรรม กรรมตัดรอน เป็นกรรมที่ตัดรอนผลของชนกกรรม และอุปัตถัมภกกรรมให้ขาด เป็นกรรมที่รุนแรงกว่าอุปปีฬกกรรม
หมวดที่ ๓ กรรมให้ผลตามลำดับ
๑. ครุกรรม กรรมหนัก เป็นอนัตตริยกรรมที่ให้ผลก่อนกรรมอื่น
๒. อาจิณณกรรม กรรมที่ทำบ่อยๆจนชิน เมื่อครุกรรมไม่มี กรรมนี้ย่อมให้ผลก่อนกรรมอื่น
๓. อาสันนกรรม กรรมเมื่อจวนเจียนจะตาย เมื่อครุกรรมและอาจิณณกรรมไม่มี กรรมนี้ย่อมให้ผล
๔. กตัตตากรรม กรรมสักว่าทำ เป็นกรรมอันทำด้วยไม่จงใจ เมื่อกรรมทั้ง ๓ข้อข้างต้นไม่มี กรรมนี้จึงให้ผล เช่นโทษที่เกิดจากการประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียชีวิตเป็นต้น
จะเห็นว่าคำถามในข้อ ๒นี้เข้าได้กับกตัตตากรรม เหตุนั้นจะทำจะพูดจะคิดท่านให้ใช้สติปัญญาทำ ไม่ทำด้วยประมาทหรือโมหะ ซึ่งจะเป็นช่องทางให้ปัญหาต่างๆตามมาได้ เหตุนั้นพุทธพจน์กล่าวไว้ “ธัมโม หะเว รักขะติ ธัมมะจาริง ธรรมแลย่อมคุ้มครองผู้ประพฤติธรรม” ก็คือสติธรรม ปัญญาธรรม สมาธิธรรมนั่นเอง .
ตอบข้อ ๓.๒
ให้ไปดูพระไตรปิฎกแก่นธรรม พระสุตตันตปิฎกเล่ม ๔ เฉลิมพระเกียรติพระเจ้าอยู่หัว ๘๐ พรรษา หน้า ๘๗๕
พระอรหันตสาวกมี ๓ประเภทคือ
๑.พระอัครสาวก เช่น พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ บำเพ็ญบารมี ๑อสงไขย ๑๐๐,๐๐๐ กัป
๒.พระมหาสาวก เช่น พระอิสีติมหาสาวกผู้ทรงเอตทคะบำเพ็ญบารมี ๑๐๐,๐๐๐ กัป
๓.พระปกติสาวก บำเพ็ญบารมี ๑๐๐ กัป หรือ ๑,๐๐๐ กัป ไม่มีเวลากำหนดแน่นอน .
เวลาทำสมาธิ
ให้ระลึกลมหายใจเข้าออก
ให้รู้ลมหายใจเข้าออก
หายใจเข้าสั้นก็รู้
หายใจออกสั้นก็รู้
หายใจเข้ายาวก็รู้
หายใจออกยาวก็รู้
ไม่ต้องบังคับลมหายใจ
ตามรู้ลมหายใจเข้าออก
สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้
สงบก็ไม่ยินดี ไม่สงบก็ไม่ยินร้าย
ไม่เอาทั้งสงบและไม่สงบ
เอาแค่รู้ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมปัจจุบันนั้น
ทำอะไรก็ให้รู้เหตุปัจจัย
รู้ไม่ใช่เพื่อ ยินดี ยินร้าย รู้เพื่อให้ รู้เหตุปัจจัย
เหตุแห่งความเจริญ
เคารพ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
เคารพ สิกขา 3 ศีล สมาธิ ปัญญา
เคารพในความไม่ประมาท
เคารพในการปฎิสันฐาน
เคารพใน ศีล
เคารพใน สมาธิ
เคารพในกันและกัน
หลักตัดสิน ธรรมวินัย 8 ประการ
ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด
เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้
เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส
เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย
เป็นไปเพื่อสันโดษ
เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่คณะ
เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร
เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย
ธรรมที่ควรเจริญ
สติ
สัมปัชชัญญะ
ศีล
สมาธิ
ปัญญา
วิมุตติ
วิมุตติญาณทัสสนะ
สัมมาทิฏฐิ เห็นชอบ
สัมมาสังกัปปะ ดำริชอบ
สัมมาวาจา พูดชอบ
สัมมาอาชีโว อาชีพชอบ
สัมมากัมมันโต การงานชอบ
สัมมาวายาโม ความเพียรชอบ
สัมมาสติ ระลึกชอบ
สัมมาสมาธิ ตั้งมั่นชอบ
สัมมาญาณะ ความรู้ชอบ
สัมมาวิมุตติ หลุดพ้นชอบ
สัมมาวิมุตติญาณทัสสนะ ความเห็นในการหลุดพ้นชอบ
สัมมาทิฏฐิ
คือ รู้ชัดซึ่ง เหตุแห่ง กุศล วิชชา เป็น เหตุ
รู้ชัดซึ่ง เหตุแห่ง อกุศล อวิชชา เป็น เหตุ
การบรรลุธรรมอาศัย สติ ปัญญา อุเบกขา เป็นมัทยัทธ์
รักษาสัจจะ เพิ่มพูลจาคะ ไม่ประมาทปัญญา ศึกษาสันติ
การปฎิบัติธรรม
คบสัตบุรุษ ฟังพระสัทธรรม อยู่ในประเทศเหมาะสม ตั้งสัจจะ เดินสัมมาทิฏฐิ เจริญความสงบ
ออกพิจารณาด้านปัญญา + พลังกุศล - บ่มอินทรีย์ นิพพิทา วิราคะ วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ
สติ - ศีล - สมาธิ - ปัญญา - วิมุตติ - วิมุตติญาณทัสสนะ
อัปปมาโณพุทโธ อานุภาพพระพุทธเจ้าไม่มีประมาณ
อัปปมาโณธัมโม อานุภาพพระธรรมไม่มีประมาณ
อัปปมาโณสังโฆ อานุภาพพระสงฆ์ไม่มีประมาณ
เรื่องของสมมติ อวิชชา ตัวตน ยึดตรงไหน หลงที่ไหน ผิดที่นั้น จุดต่อมแห่งภพชาติ