หลวงปู่ดูลย์ อตุโล หรือ พระราชวุฒาจารย์ เป็นปรมาจารย์ทางวิปัสสนาที่เด่นที่สุดองค์หนึ่งในยุคนี้ ท่านเป็นศิษย์สำคัญรุ่นแรกของหลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถระ ท่านคืออดีตเจ้าอาวาสวัดบูรพาราม จังหวัดสุรินทร์ และอดีตเจ้าคณะจังหวัดสุรินทร์ฝ่ายธรรมยุต ประเทศไทย
แม้ท่านจะมรณภาพไปแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ. 2526 แต่ท่านได้ฝากคำสอนที่ล้ำค่าไว้ จึงนับเป็นบุญกุศลสูงสุดแก่ผู้ได้ยินได้ฟังหรือได้อ่านคำสอนของท่าน เพราะสิ่งที่ท่านเทศน์สอน กล่าวได้ว่าเป็นสัจธรรมสูงสุด ที่ท่านได้รู้แจ้งประจักษ์จริง และนำมาเปิดเผยตีแผ่สอนเหล่าสานุศิษย์ให้มีโอกาสได้เข้าใจในธรรม
ลักษณะที่เด่นที่สุดในคำสอนของท่านคือ ผู้ฟังหรือผู้อ่านจะทราบได้ทันที่ว่า ท่านเทศน์สอนไม่เหมือนใคร ท่านจะพูดแต่เรื่องจิตล้วนๆ คำสอนของท่านสั้นแต่กินความลึกซึ้ง บางครั้งอาจต้องกลับมาอ่านหรือฟังทบทวนอีกเพื่อทำความเข้าใจกับข้อความนั้นๆ เพราะเป็นเรื่องที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน และเป็นการอธิบายปรากฏการณ์ทางจิต ซึ่งอยู่เหนือสมมติบัญญัติ ความคิดหรือความรู้สามัญทั่วไป
ธรรมชาติของจิตนั้น เป็นเรื่องละเอียดอ่อน เข้าใจได้ยาก เพราะจิตไม่มีรูปร่าง แต่ชอบท่องเที่ยวไปไกล ดังพระพุทธพจน์ที่กล่าวถึงจิต ไว้ว่า
" ทูรงฺคมํ เอกจรํ อสรีรํ คูหาสยํ
เย จิตฺตํ สญฺญเมสฺสนฺติ โมกฺขนฺติ มารพนฺธนา"
จิตท่องเที่ยวไปไกล เที่ยวไปดวงเดียว ไม่มีรูปร่าง อาศัยอยู่ในร่างกายนี้ ใครควบคุมจิตนี้ได้ ย่อมพ้นจากบ่วงมาร
ดังนั้น จึงเป็นเรื่องที่ยากในการอธิบายถึงจิต ซึ่งปราศจากรูปร่างหน้าตา หลวงปู่ดูลย์ท่านได้กรุณาอธิบายถึงจิตไว้อย่างละเอียดลออว่า
มันไม่ใช่เป็นของมีสีเขียว หรือสีเหลือง และ ไม่มีทั้งรูป ไม่มีทั้งการปรากฏ ไม่ถูกนับรวมอยู่ในบรรดาสิ่งที่มีการตั้งอยู่ และ ไม่มีการตั้งอยู่ ไม่อาจจะลงความเห็นว่า เป็นของใหม่หรือของเก่า ไม่ใช่ของยาวหรือของสั้น ของใหญ่หรือของเล็ก
จิตของเรานั้น ถ้าเราทำความสงบเงียบอยู่จริงๆ เว้นขาดจากการคิดนึก ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวของจิตแม้แต่น้อยที่สุดเสียให้ได้จริงๆ ตัวแท้ของมันจะปรากฏออกมาเป็นความว่าง แล้วเราจะได้พบว่า มันเป็นสิ่งที่ปราศจากรูป มันไม่ได้กินเนื้อที่อะไรๆ ที่ไหนแม้แต่จุดเดียว มันไม่ได้ตกลงสู่การบัญญัติว่า เป็นพวกที่มีความเป็นอยู่ หรือไม่มีความเป็นอยู่ แม้แต่ประการใดเลย เพราะเหตุที่สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เรารู้สึกไม่ได้โดยทางอายตนะ
หลักธรรมที่แท้จริงก็คือ จิต นั่นเอง ซึ่งถ้านอกไปจากนั้นแล้ว ก็ไม่มีหลักธรรมใดๆ จิต นั่นแหละคือหลักธรรม ซึ่งถ้านอกไปจากนั้นแล้ว มันก็ไม่ใช่จิต จิต นั้นโดยตัวมันเอง ก็ไม่ใช่ "จิต" แต่ถึงกระนั้น มันก็ยังไม่ใช่ "มิใช่จิต" การที่กล่าวว่า จิตนั้นมิใช่จิต ดังนี้นั้นแหละ ย่อมหมายถึงบางสิ่งบางอย่างที่มีอยู่จริง สิ่งนี้มันอยู่เหนือคำพูด ขอจงเลิกละการคิดและการอธิบายเสียให้หมดสิ้น เมื่อนั้น เราอาจกล่าวว่า คลองแห่งคำพูดก็ได้ถูกตัดขาดไปแล้ว และพฤติของจิตก็ได้ถูกเพิกถอนโดยสิ้นเชิงแล้ว
พระพุทธเจ้าทั้งปวง และสัตว์โลกทั้งสิ้น ไม่ได้เป็นอะไรเลย นอกจากเป็นเพียง จิตหนึ่ง นอกจากจิตหนึ่งแล้ว มิได้มีอะไรตั้งอยู่เลย จิตหนึ่ง ซึ่งปราศจากการตั้งต้นนี้ เป็นสิ่งที่มิได้เกิดขึ้น และไม่อาจถูกทำลายได้เลย
ตามหลักวิทยาศาสตร์ พลังงาน ไม่อาจถูกสร้างขึ้น หรือ ถูกทำลายได้เลย เพียงแต่แปรเปลี่ยน (Transform) รูปลักษณ์ไปเท่านั้น หากเปรียบเทียบ จิต ว่าเป็นพลังงานประเภทหนึ่ง ก็อาจนำมาประยุกต์ทำความเข้าใจกับความหมายข้างต้นได้บ้าง
ในการปฏิบัติอบรมจิต ถ้ายิ่งพยายามหาเหตุผลอธิบายสภาพของจิต จะยิ่งสับสน และยิ่งสร้างความสงสัย (วิจิกิจฉา) มากขึ้น กลับกลายเป็นอุปสรรค (นิวรณ์) ในการเจริญจิตให้ก้าวหน้าต่อไป เพราะมัวไปติดอยู่ในความคิด หรือ การเคลื่อนไหวของจิต ตามพื้นฐานความรู้สมมติบัญญัติที่ตนเคยเรียนรู้มาเท่านั้น
แต่หากเพียงทำความรู้สึกตัว รู้ซื่อๆ เอาจิตดูจิต นั่นคือ อาศัยสติเฝ้าดูจิต รู้เท่าทันการเคลื่อนไหวของจิต คือ ความคิด โดยรู้สดๆ รู้เฉยๆ (สวสํเวทนา) รู้ล้วนๆ แต่อย่าให้ไปรู้อะไรโดยเฉพาะเข้า รู้โดยไม่รู้อะไรเลย (Unknowing knowing) สภาพที่แท้จริงของจิตก็จะปรากฏออกมาให้เห็นเองว่า เป็นความว่าง ปราศจากรูปร่าง ปรากฏให้เห็นเป็นสัจจะซึ่งหลักธรรมที่แท้จริง เหนือสมมติบัญญัติทั้งหลายทั้งปวง เห็นซึ่งความเป็นพุทธะของจิต ว่าจิตคือพุทธะ พุทธะก็คือจิต คือ หลักธรรม นั่นเอง
หลวงปู่ดูลย์ท่านก็มีวิธีอธิบายเรื่องที่เราคิดว่ายากให้เป็นของง่าย อาทิ ท่านอธิบาย อริยสัจ 4 ไว้อย่างตรงไปตรงมาว่า
จิตที่ส่งออกนอก เป็นสมุทัย (เหตุให้เกิดทุกข์)
ผลอันเกิดจากจิตที่ส่งออกนอก เป็นทุกข์ (ผล คือ ทุกข์)
จิตเห็นจิต เป็นมรรค (เหตุ คือ ทางดับทุกข์)
ผลอันเกิดจากจิตเห็นจิต เป็นนิโรธ (ผล คือ การดับทุกข์)
ท่านชี้ให้เห็นว่า เป็นเพราะจิตส่ายแส่ออกนอกกายและจิตไปในความคิดนี้เอง ทำให้เราไปยึดติดอยู่กับความคิด เป็นต้นเหตุให้เกิดทุกข์ หรือ สมุทัย นำไปสู่ผลคือทุกข์ แต่เมื่อจิตเห็นจิตอย่าง แจ่มแจ้ง นั่นคือ มีสติ เห็นจิตว่ากำลังคิดอะไรอยู่หรือกำลังสั่งกายให้พูดหรือทำอะไรอยู่ตลอดเวลา นั่นคือ มรรค หรือทางดับทุกข์ เป็นเหตุให้นำไปสู่ผล คือการดับทุกข์ หรือ นิโรธ เมื่อเข้าใจเช่นนี้จะทำให้ง่ายในการเข้าใจหลักธรรมและอริยสัจ 4 และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้สะดวก โดยการเฝ้าดูจิต ดูความคิด กล่าวคือ เป็นการฝึกสติ และความรู้สึกตัว ให้คอยสอดส่องดูจิตอยู่ตลอดเวลานั่นเอง ไม่ให้จิตไหลไปตามความคิด
หลวงปู่กล่าวสอนอยู่เสมอว่า
อย่าส่งจิตออกนอก
จงหยุดคิดให้ได้
คิดเท่าไร ก็ไม่รู้ ต้องหยุดคิดให้ได้จึงรู้
แต่ต้องอาศัยความคิด นั่นแหละจึงรู้
โดยธรรมชาติ ความคิดจะมีตัวพลังหรืออำนาจที่คอยแอบแฝงซ่อนเร้นมาด้วย คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นแรงกระตุ้น ปรุงแต่ง ครอบงำความคิดที่ขาดสติ หรือที่เรียกว่า ลักคิด จิตส่งออกนอกเพื่อตอบสนองอารมณ์อันสืบเนื่องมาจากรูป รส กลิ่น เสียง โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ที่สัมผัสผ่านอายตนะหก คือ ตาหู จมูก ลิ้น กาย ใจ เกิดความหวั่นไหวนำพาให้เกิดทุกข์เป็นผลตามมา ต่อเมื่อจิตมีสติเห็นและจับความคิดขณะที่กำลังเกิดขึ้นได้ การลักคิดตามอำนาจ โลภ โกรธ หลง จะขาดสะบั้นลง นั่นคือ หยุดความคิด ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวของจิต แต่ต้องอาศัยการเห็นความคิดที่กำลังเกิดขึ้น คือ ขณะที่จิตส่งออกนอก ด้วยสติ และ ความรู้สึกตัว จิตจะเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง จะเห็นธาตุแท้ของจิตว่าเป็น ความว่าง ปราศจาก ความโลภ ความโกรธ ความหลง อันเป็นรากฐานมูลเหตุแห่งทุกข์
สำหรับ ปฏิจจสมุปบาท หรือ ที่เรียกกันว่า อริยสัจใหญ่ นั้น หลวงปู่ดูลย์ชี้แจงว่า มันไม่ใช่ตัวปัญญา แต่เป็นตัวนำให้เกิดปัญญา และท่านกล่าวถึงว่า ตัวเหตุสำคัญคือ สังขาร (ความปรุงแต่ง หรือแรงกระตุ้น คือความคิดที่คอยปรุงแต่งจิต) ซึ่งสืบต่อเนื่องเป็นผลมาจากอวิชชา [ความไม่รู้ซึ่งความเป็นจริง ด้วยถูกบดบังไว้ด้วยความหลงใหล (โมหะ) ในตนเอง (อัตตา)]
หลวงปู่ดูลย์ท่านกล่าวถึง ปฏิจจสมุปบาท ไว้โดยย่อว่า
ภาวะที่แท้แห่งจิต เป็นสิ่งที่ก่อกำเนิดธรรมทั้งหลาย ที่เรียกว่าวิญญาณ [วิญญาณคลัง อาลยะ (3 - วิญญาณ/Consciousness)] ในทันทีที่เริ่มวิถีแห่งความคิดนึก (4 - นามรูป/Thought) หรือวิถีแห่งการหาเหตุผล (Reasoning/Imagination based on Self-image) ภาวะที่แท้แห่งจิต ก็กลายเข้ารูปเป็นวิญญาณประเภทต่างๆ (วิญญาณทาง ตา, หู, จมูก, ลิ้น, กาย, ใจ/Eye, Ear, Nasal, Tongue, Bodily Contact, Mind Consciousness) เมื่อวิญญาณซึ่งรับรู้ (6 - ผัสสะ/Contact) ในอารมณ์ทั้งหกเกิดขึ้น ก็จะสำเหนียกรู้ (7 - เวทนา/Feeling) ในวัตถุแห่งอารมณ์ทั้งหกจากทวารทั้งหก (5 - สฬายตนะ/อายตนะ 6/6 Sense Organs) นั้น ดังนั้น กิจของธาตุสิบแปด จึงเนื่องมาจากแรงกระตุ้น (2 - สังขาร/Impulse/Biased Thought Formation) ของภาวะที่แท้แห่งจิต ไม่ว่าบุคคลนั้นจะปฏิบัติกิจในทางชั่ว (กิเลส/Impurities) (8 - ตัณหา/Craving), (9 - อุปาทาน/Clinging), (กรรม/Deed/Action/Volition), (10 - ภพ/Becoming), (11 - ชาติ/Birth) (12 ชราหรือความสุกงอมของความคิด/Ripening/Aging, มรณะหรือความสลายตัวของความคิด/Ceasing/Passing away, ฯลฯ) หรือ ปฏิบัติกิจในทางดี ก็แล้วแต่ว่าภาวะที่แท้แห่งจิต จะอยู่ในอารมณ์เช่นใด - อารมณ์ชั่ว (1 - อวิชชา/Ignorance/Delusion: ปฏิจจสมุปบาท สายเกิด) หรืออารมณ์ดี (วิชชา/ปัญญา/Wisdom: ปฏิจจสมุปบาท สายดับ) กิจอันชั่วก็เป็นลักษณะของสามเนกขน (สามัญชน) กิจอันดีก็เป็นลักษณะของพุทธ เพราะว่ามีความรู้สึกที่เป็นของคู่ประเภทตรงกันข้าม ฝังติดเป็นนิสัยอยู่ในภาวะที่แท้แห่งจิต.
(ปฏิจจสมุปบาท มีองค์ 12: 1. อวิชชา -> 2. สังขาร -> 3. วิญญาณ -> 4. นามรูป -> 5. สฬายตนะ -> 6. ผัสสะ -> 7. เวทนา -> 8. ตัณหา -> 9. อุปาทาน -> 10. ภพ -> 11. ชาติ -> 12. ชรามรณะ โศก ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาสา)