ได้ไปอ่านมาเห็นว่าน่าสนใจ จึงนำมา post ให้ช่วยกันพิจารณากันครับ
อานิสงค์การบูชาพระรัตนตรัย
และเพราะความเลื่อมใสจากใจนีเอง ที่ก่อให้เกิดผลแห่งกรรมดีที่จะคอยคุ้มครองบุคคลนั้น ๆ ให้ร่มเย็นเป็นสุข ด้วยบารมีแห่งพระรัตนตรัยอันเป็นส่วนของนามธรรม ซึ่งกล่าวได้ว่าผู้ใดเข้าถึงพระรัตนตรัยมากเท่าใด พระรัตนตรัยก็จะคุ้มครองรักษาผู้นั้นมากเท่านั้น กระแสบุญบารมีดังกล่าว จะก่อให้เกิดพลังงานที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น คอยติดตามคุ้มครองรักษาป้องกันผู้ที่เลื่อมใสในคุณพระรัตนตรัย ไม่ให้มีความตกต่ำหรือหลงทางในสังสารวัฎ และชักจูงให้บุคคลผู้นั้นพบแต่สิ่งดีๆ มีความเจริญก้าวหน้าทั้งทางโลกและทางธรรม ยกเว้นบุคคลผู้นั้นจะมีกรรมเก่าที่ต้องชดใช้เสียก่อน ภายหลังจึงจะได้รับผลอานิสงค์แห่งการบูชาซึ่งคุณพระรัตนตรัย นี้เป็นกฎแห่งการบูชาพระรัตนตรัยซึ่งให้ผลแน่นอนที่สุดทั้งในโลกนี้และโลกหน้าจนกว่าจะถึงซึ่งนิพพาน
เพราะการค้นพบพระธรรม หรือการตรัสรู้ธรรมของพระพุทธเจ้านั้นไม่ใช่ของง่าย แต่ต้องอาศัยการสร้างสมบารมีอย่างยาวนานถึงสี่อสงไขยกับอีกแสนกัป ดังนั้น พลังงาน หรืออำนาจบารมีที่เกิดจากการตรัสรู้ธรรมหรือบรรลุธรรมของพระพุทธเจ้า และเหล่าพระอรหันต์ทั้งหลาย ผู้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้านั้น จึงมีมากมายอย่างมหาศาลหาที่สุดมิได้ กระแสบารมีเหล่านี้จึงเป็นเสมือนสนามแม่เหล็กขนาดใหญ่ครอบคลุมไปทั่วสากลพิภพจักรวาล ซึ่งมนุษย์ทั่วไปไม่อาจสัมผัสได้ ยกเว้นท่านผู้ปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนาเท่านั้น ทั้งนี้รวมไปถึงผู้ที่เคยปฏิบัติหรือสั่งสมบารมีธรรมมาแต่ชาติก่อน ๆ ด้วย นอกจากนั้น เทพเจ้าทั้งหลาย มี พระสยามเทวาธิราช พระพรหม พระศิวะ พระนารายณ์
พระพิฆเนศ พระอินทร์ พระวิษณุกรรม ท้าวมหาราชทั้งสี่ พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง พระหลักเมือง พระภูมิ เทพารักษ์ เจ้าที่เจ้าทาง เจ้าป่าเจ้าเขา
เทพยาดา ทั้งเทพบุรุษ และเทพนารีทุกแห่งหน ตลอดจนพญานาค พญาครุฑ ผู้ทรงตบะญาณแก่กล้า เช่น พระฤาษี และสิ่งศักด์สิทธิทั้งหลาย ก็เป็นที่เคารพนับถือของชนชาวไทยไม่อยู่ไม่น้อย
ธรรมะที่แสดงถึงความลี้ลับแห่งโลกทิพยืวิญญาณ ที่จัดว่าเป็นคำสอนที่ลึกซึ้งพิสดารอันปรากฏอยู่ใน "พระสุตตันตปิฎก" หรือ "พระสูตร" เป็นหนึ่งในคำสอนที่ยิ่งใหญ่ของพระพุทธเจ้า พระบรมศาสดา ที่สืบทอดกันมานับพัน ๆปี รวมเรียกว่า "พระไตรปิฎก" นอกเหนือไปจาก "พระวินัย" และพระ "อภิธรรม" ที่ยิงใหญ่ไม่แพ้กัน ซึงได้ถูกรวบรวมและเรียบเรียงขึ้นโดยพระอรหันต์ผู้ทรงคุณธรรมระดับสูง คือ "จตุปฏิสัมภิทาญาณ" แตกฉานในพระพุทธธรรมคำสอนอย่างลึกซึ้ง ได้ช่วยกันเรียบเรียงถ้อยความให้ดำรงไว้ซึ่งพระสัจจธรรมที่พระองค์ทรงค้นพบ กล่าวได้ว่าผู้ใดก็ตามหากได้อ่านพระไตรปิฎก โดยเฉพาะ "พระสูตร" แล้ว จะไม่เกิดศรัทธาในพระพุทธศาสนาเป็นไม่มี และหากได้อ่าน "พระอภิธรรม" แล้วจะไม่เกิดปัญญา ดวงตาเห็นธรรมเป็นไม่มี หลายท่านคงนึกสงสัยว่า แค่อ่านก็ถึงกับเกิดศรัทธา เกิดปัญญาเลยเชียวเหรอ ขอยืนยันว่า ใช่! แต่ต้องอ่านหลาย ๆ เที่ยว เมื่ออ่านพระไตรปิฎกจนแตกฉานลึกซึ้งแล้วจะไปอ่านหนึงสือธรรมะเล่มอื่น ๆ ก็ได้ เพื่อการศึกษาและเปิดธรรมทัศน์ของตนให้กว้างขวาง (สำหรับ พระวินัย เหมาะสำหรับพระภิกษุผู้ทรงเพศบรรพชิตเท่านั้น ปุถุชนคนธรรมดาแค่ กฎหมาย ก็ศึกษากันจนแทบไม่ไหวอยู่แล้วหรือแค่รักษาศีลห้าก็เพียงพอแล้ว) และต้องเข้าใจไว้อย่างหนึ่งว่า แม้พระธรรมคำสอนจะมีอยู่มากมาย แต่มีข้อสรุปอยู่ที่ "การดับทุกข์" เท่านั้น ฉะนั้น ไม่ว่าแต่ละคนจะรู้ธรรมะมากขนาดไหนก็ตาม แต่นั่นก็เป็นเพียง ปริมาณ ไม่ใช่คุณภาพ รวมถึงเรื่องฤทธิ์เดชปาฏิหาริย์ต่างๆด้วย ก็เป็นเพียง เปลือก มิใช่ แก่น แต่ประการใด แต่การศึกษาและปฏิบัติธรรมก็ยังเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งต่อมนุษย์ทุกคนอยู่นั่นเอง ไม่ว่าจะบวชหรือไม่บวช จะนับถือหรือไม่นับถือ เพราะธรรมะเท่านั้นที่ทำให้คนพ้นทุกข์และอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข และธรรมะที่แท้จริงหาใช่มีอยู่ในตำราไม่ แต่อยู่ที่ จิตใจ ของมนุษย์ทุกคน เรียกว่า คุณธรรมนั่นเอง
ผู้มีคุณธรรม แม้ไม่ได้เรียนธรรมะอ่านธรรมะมามากมาย แต่หากมีคุณธรรมในจิตใจแล้วก็ถือว่าเป็นผู้สูงส่งน่านับถือ อาทิ ผู้มีความกตัญญูกตเวทีหาได้ยากในโลกปัจจุบันนี้ หรือผู้ทำหน้าที่ของตนด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เป็นต้น ผู้มีคุณธรรมอยู่ในหัวใจ ไม่ว่าจะเกิดในสถานที่ใด หรือมีฐานะอย่างไร ก็ไม่มีปัญหาอะไร ยังได้ชื่อว่าทรงคุณธรรม และน่านับถืออยู่นั่นเอง แต่ขึ้นชื่อว่ามนษย์แล้วจะไม่มีปัญหาเลยก็ไม่ได้ เพราะมนุษย์ทุกคนเกิดมาพร้อมกับปัญหา ทั้งปัญหาที่แก้ได้และแก้ไม่ได้ ที่แก้ได้ก็เพราะวิบากกรรมได้เบาบางลงไปมาก แล้วหลังจากที่ชดใช้พอสมควร หรือได้ทำการแก้ไขอย่างถูกต้อง โดยได้รับการช่วยเหลือแนะนำจากท่านผู้รู้ในเรื่องนั้น ๆ เมือเราแก้ปัญหาของตัวเองไปได้บ้างแล้ว พอสามารถที่จะไปช่วยผู้อื่นได้จึงค่อยช่วย
ใช้อุเบกขาในการแก้ปัญหา
ดังที่พระพุทธองค์ทรงแก้ปัญหาของพระองค์เอง ในขณะที่ยังเป็นพระโพธิสัตว์ก่อน เมือทรงแก้สำเร็จ ได้บรรลุพระสัมโพธิญาณแล้ว จึงออกมาช่วยแก้ปัญหาของมวลมนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งหลาย จริงอยู่ที่พระพุทธองค์ทรงสอนเราให้มีเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์และสรรพสัตว์ แต่นั่นหมายถึงการที่เรามีความสามารถเพียงพอที่จะช่วยเขาได้ ถ้าเรายังมีความสามารถไม่เพียงพอต่อการช่วยผู้อื่นแล้วพระองค์ก็ทรงสอนต่อไปอีกว่า เราควรตั้งอยู่ในอุเบกขาธรรม เมื่อแนะไม่ได้ สอนไม่ได้ ก็ต้องปล่อยเขาไป เป็นเรื่องสุดวิสัยจริง ๆ หรือ มิฉะนั้นก็แนะนำให้เขาได้ไปขอความช่วยเหลือจากผู้ที่มีความสามารถท่านอื่นแทน แต่บางครั้งหากไปเจอคนหลอกลวง โดยอาศัยความเชื่อของคนที่ไม่ได้ทำการศึกษาธรรมะมาก่อนแล้ว ก็จะทำให้เสียเวลา เเละเกิดความผิดพลาดเข้าไปอีก
เพราะบางคนเขาไปนึกว่าพระพุทธศาสนาสามารถบันดาลโชคลาภให้เขาโดยง่าย หรือบนบานศาลกล่าวขอในสิ่งต่าง ๆ โดยที่ไม่ต้องลงมือขวนขวาย เป็นต้น นั่นเป็นความเข้าใจผิด การตรัสรู้ธรรมรวมถึงการบรรลุธรรมของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลายนั้นไม่ใช่จะได้มาโดยการอ้อนวอนขอร้องหรือการบนบานแต่ประการใดไม่ หากแต่ได้มาโดยการบำเพ็ญเพียรอย่างเอกอุ ด้วยการสร้างบารมีธรรมทั้ง 10 ประการ อย่างครบถ้วนสมบูรณ์แบบต่างหาก อันได้แก่ ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา และอุเบกขา ด้วยระยะเวลาที่ยาวนานและต่อเนื่องจนกลั่นตัวจากคำว่า "บุญ" เป็น"บารมี" หมายถึงการทำความดีทุกอย่างที่ยังไม่ได้ปรารถนาซึ่งพระนิพพานหรือความพ้นทุกข์นั้น เรียกว่า บุญ (lส่วนคำว่า กุศล หมายถึงความฉลาดในการทำบุญที่เรียกว่า บุญกุศล ถ้าฉลาดในการสร้างบารมีก็เรียกว่า กุศลบารมี ถ้าฉลาดในการวางแผนก็เรียกว่า กุศโลบาย = กุศล+อุบาย ถ้าทำโดยไม่ฉลาดก้เรียกว่า อกุศล เช่น ทำอะไรแล้วเดือดร้อนตนเองภายหลัง ก็จัดเป็นอกุศลทั้งสิ้น เรียกกันทั่วไปว่า บาปอกุศล)
หากบารมีใกล้ที่จะเต็มเปี่ยมแล้วก็เรียกว่า อุปบารมี หากบารมีเต็มเปี่ยมโดยสมบูรณ์ก็จะเรียกว่า ปรมัตถบารมี เป็นผลให้ผู้ที่สั่งสมบารมีนั้นสำเร็จในการตรัสรู้ธรรมอย่างยอดยิ่งเหนือกว่ามนุษย์และสรรพสัตว์ ประกอบด้วยความสามารถที่เหนือกว่ามนุษย์และเทวดาทั้งหลาย (ผู้มีกายละเอียดหรือกายทิพย์) ทรงคุณธรรมในระดับสูงสุด เป็นที่พึ่งแก่มวลมนุษย์และสรรพสัตว์ได้อย่างแท้จริง
และธรรมะของพระพุทธเจ้านั้น ไม่ได้มีไว้เพื่อทำใหคนสมหวังในทุกเรื่องหากแต่มีไว้เพื่อศึกษาเรียนรู้ในเรื่องความจริงของชีวิต ยอมรับในความจริงของชีวิตว่ามีทั้งความสมหวังและผิดหวัง ควรามสุขและความทุกข์ต่างหาก ศึกษาธรรมะเพื่อเข้าใจในธรรมชาติในสัจจธรรม และในกฎแห่งกรรมต่างหาก ไม่เช่นนั้นแล้วจะมีนิพพานไว้ทำไม หากโลกนี้มีแต่ความสุข ความสมหวัง เราก็ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติธรรม ไม่จำเป็นต้องสร้างบารมีเพื่อปรารถนามรรคผลนิพพานกันดอก แต่ความจริงมันไม่ได้เป็นอย่างนั้น จึงต้องมีพระพุทธเจ้าพระอรหันต์เกิดขึ้นในโลกเพื่อมาสั่งสอนเราให้ถึงความหลุดพ้นอย่างแท้จริง
นอกจากนั้น ในพระสูตรยังได้อธิบายถึงการบำเพ็ญบารมีของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์สาวกด้วยว่า ฟันฝ่าอุปสรรคขนาดไหน คือไม่ใช่จะสำเร็จได้โดยง่ายเลย ความจริงเรื่องราวในพระสูตร นั้นก็ลึกซึ้งมากเกินกว่าที่สติปัญญาของมนุษย์จะตามถึงอยู่แล้ว คนทั่วไปจึงไม่ค่อยสนใจจะอ่านกัน เพราะคิดว่าทำไม่ได้ไปไม่ถึงขั้นนั้นแน่นอน จะไปอ่านมันทำไม เลยละทิ้งไม่สนใจของดีที่พระพุทธเจ้าทรงประทานไว้ให้ด้วยพระมหากรุณาธิคุณ แถมยังมีบางคนที่ไม่รู้ หรือรู้ไม่จริง กล่าวหาเรื่องราวในพระสูตรว่าเป้นเพียงนิทานหลอกเด็กไปเสียอีกเท่ากับกล่าวหาพระพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นพระสัพพัญญู และพระอรหันต์ผู้เรียบเรียงพระไตรปิฎกว่าแต่งนิยายไว้หลอกผู้คนไปเลย เข้าใจอะไรผิดเสียแล้วกระมัง ? เสียดายนักที่มีตาแต่ไร้แวว (หมายถึงฉลาดแต่ไม่เฉลียว) คิดไปเองว่า จักรวาลนี้คงจะคับแคบเหมือนกับสมองและจิตใจของตนเองนั่นแล
มงคลที่แท้จริง
โลกของวัตุแม้จะมีวิวัฒนาการถึงขนาดไหนก็ตาม แต่รากฐานโดยธรรมชาติแล้ว ย่อมมีที่มาที่ไป และนั่นคือเหตุผลที่ต้องมีผู้รู้อย่างพระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นในโลกมนุษย์เพื่อตอบคำถามเหล่านี้ เช่นทรงตอบข้อสงสัยของเหล่าเทวดาทั้งหลายในครั้งพุทธกาลว่า มงคลที่แท้จริงคืออะไร ดังปรากฏใน "มงคลสูตร 38 ประการ" หนึงใน พระสูตรสำคัญของ พระสุตตันตปิฎก และปรากฏมีในอีกหลายๆ พระสูตรที่บ่งถึงการแก้ความสงสัยของเหล่าเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย รวมถึงยักษ์ นาค คนธรรมพ์ และอมนุษย์อื่นๆ ล้วนแสดงถึงความสำคัญและมีที่มาที่ไปอย่างไมธรรมดาทั้งสิ้น
แม้เรื่องกำเนิดของมนุษย์และจักรวาล ยังมีกล่าวถึง ทั้งใน อัคคัญญสูตร และจักกวัตติสูตร แล้วอย่างนี้จะว่าพระพุทธศาสนาไม่ก้าวล้ำนำหน้ากว่าวิทยาศาสตร์ได้อย่างไร อย่าว่าเเต่เรื่อง "อะตอม" เลย แม้กระทั่ง "นาโนเทคโนโลยี" และ "ควอนตัมพิสิกส์"
ก็มมีอยู่ในพระไตรปิฎก เพราะเรื่องของเทวดาผู้มีกายละเอียด และเรื่องของ มิติโลกทิพย์ โลกวิญาณ ก็จัดเป็น ชีวะ-นาโนขั้นสูง หรือ เรื่องของ ฌาน-สมาธิ และ ญาณ-สมาบัติ ก็จัดเป็นชีวะ-ควอนตัม-ฟิสิกส์ชั้นสูงโดยแท้ ที่แประกอบไปด้วยโครงสร้างทางมิติที่ซับซ้อนและหลากหลายทางชีวภาพ อันเป็นแหล่งเรียนรู้ในเรื่องราวต่าง ๆ รวมถึงเรื่องของ ความดี ความชั่ว บุญและบาปที่จัดเป็นมาตรฐานสำคัญของห้วงสากลจักรวาล และเป็นแหลงที่อยู่อาศัยร่วมกันมวลอณูลีชีวภาพ ที่เรียกว่า "สัตว์โลก" ที่มีกามตัณหา ความปรารถนาแห่งวัตถุกามเป็นแรงขับดันในการกระทำต่างๆ จึงเรียกว่า กามาวจรภูมิ คือตั้งแต่ โลกมนุษย์ 1 และสวรรค์ 6 ชั้นฟ้า รวมเป็น 7 ภูมินั่นเอง
ละอองธุลีชีวภาพเหล่านี้จะทำทุกอย่างเท่าที่มีความสามารถจะทำได้ในการหาวัตถุมาเพื่อตอบสนองความต้องการของตนเอง โดยนอกเหนือจากความต้องการขั้นพื้นฐานของมนุษย์ ที่เรียกว่า ลาภ ยศ ชื่อเสียง และความมั่งคั่งมั่นคงต่าง บ้างก็มีความสามารถในทางที่ดี บ้างก็ม ความสามารถในทางที่ไม่ดี ก้ถือเป็นความสามารถที่เฉพาะตัว แต่สุดท้ายแล้ว จักรวาลก็จะจัดสรรให้เกิดความสามดุลและเท่าเทียมอย่างยุติธรรมในที่สุด หากธุลีชีวภาพใดสามารถเรียนรู้ถึงการพัฒนาคุรรมในจิตใจ ก็จะสามารถเข้าถึงโลกวิญญาณที่พัฒนาแล้วได้ ซึงเป็นโลกวิญญาณในระดับสูงที่เรียกว่า "รูปาวจรภูมิ" ได้แก่ พรหมโลก ทั้ง 16 ชั้น เพราะสามารถพัฒนาจิตวิญาณให้ละเอียดด้วยคุณธรรมระดับสูงได้ จึงเรียกว่า พรหม แปลว่าประเสริฐ คุณธรรมดังกล่าว ได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา รวมเรียกว่า พรหมวิหาร 4
อย่างไรก็ดี พระพุทธเจ้าของเราได้ทรงจัดระเบียบแห่งธรรมะ ทั้งหลายให้เป็นหมวดหมู่ไว้แล้วดังปรากฎในพระไตรปิฎก ขอให้ศึกษากันอย่างครบถ้วนด้วยตนเองเถิด การศึกษาพระไตรปิฎกนั้น ถ้าจะให้ดี ต้องศึกษาคู่มืออีกหลายเล่ม อาทิ คัมภีร์วิสุทธิมรรค มิลินทปัญหา และ ตำราพระธรรมบท เป็นต้น แม้คัมภีร์ฝ่ายพุทธมหายานก็ควรที่จะศึกษาไว้ด้วย เพื่อทำการเปรียบเทียบและวินิจฉัยในขั้นต่อไป
แต่ที่สำคัญ การลงมือปฏิบัติเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ปฏิบัติอะไร ไม่ใช่แค่ปฏิบัติสมาธิ แต่หมายถึงการปฏิบัติธรรมตามคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ทรงจำแนกแจกแจงไว้แล้วอย่างครบถ้วนสมบูรณ์แบบ และสามารถเลือกปฏิบัติได้ตามแต่จริตนิสัย บางคนแค่อ่านก็เข้าใจ บางคนแค่สนทนาก็เข้าใจ บางคนใช้เวลานิดหน่อยก็เข้าใจ แต่บางคนต้องใช้เวลาทุ่มเทอย่างมาก ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากคำว่า "บุญเก่า" เป็นสาคัญ เพราะทำมาไม่เท่ากันและไม่เหมือนกัน ฉะนั้นจึงมีความหลากหลายมากเพียงเรื่องของการปฏิบัติ
อาตมาผู้เขียนพอดีเป็นผู้ที่สั่งสมบำเพ็ญมาในด้านของ "จตุปฏิสัมภิทาญาณ" ที่มีอดีตเป็น "พุทธภูมิ" มาก่อน แม้ว่าจะยังไม่สำเร็จถึงขั้นสูงสุด แต่ด้วยอุปนิสัยและวาสนาบารมีเดิม จึงไม่เเปลกเลยที่มาแนะนำสั่งสอนในด้านนี้ และมีเหตุผลบางอย่างที่จะได้ไปเกิดในยุคของพระศรีอารย์พุทธเจ้า จึงได้ทำการสนับสนุนส่งเสริม และแนะแนวแนะนำทุกวิถีทางให้พุทธศาสนิกชนทั้งหลายได้ไปให้ทันในยุคนั้นให้ได้ เกิดน่ะเกิดแน่ แต่จะเกิดเป็นอะไร ? จะได้ฟังธรรมหรือไม่ ? และฟังแล้วจะรู้เรื่อง จะเข้าใจ จะได้บรรลุธรรมหรือไม่ ? นั่นเป็นเรื่องที่ต้องขบคิดกันเสียแต่ตอนนี้ ก่อนที่จะไม่ทันได้คิดและสายเกินไป ก็ขอให้ทุกท่านได้เตรียมตัวเตรียมใจ และเตรียมบุญบารมีให้พร้อม จะได้ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา หากชาตินี้ก็พลาดจากพระพุทธเจ้า พลาดจากพระนิพพานแล้ว ยังพลาดจากยุคพระศรีอารย์อีกก็น่าเสียดาย (เรื่องไปสวรรค์นั้น...ไม่ยาก... ศาสนาอื่นเขาก็ไปกันได้)
เป็นที่ทราบกันดีว่า ประเทศไทยของเราเป็นแหล่งศูนย์รวมของลัทธิศาสนาต่าง ๆ มากมาย โดยแทบที่จะไม่มีปัญหาความขัดแย้งทางศาสนาดังเช่นประเทศอื่น ๆ ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากอุปนิสัยของชนชาติไทยที่มีลักษณะจิตใจกว้างขวาง และมีความเอื้ออาทรต่อทุก ๆ ชนชาติ คนไทยจึงไม่รังกียจและกีดกันความเชื่อหรือวิทยาการใด ๆ ที่จะไม่ก่อให้เกิดความเสียหาย และความกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงของประเทศ แต่หากเราไม่หาจุดแห่งความพอดีและความเหมาะสมให้แก่ ประเทศของเราแล้ว ก็ไม่แน่ว่ายุคแห่งโลกวิทยาศาสตร์และ(นาโน) เทคโนโลยีเหล่านี้จะดีไปกว่ายุคสมัยของไทยโบราณหรือไม่ หรือจะพูด ให้ชัดก็คือ ยุคโลกาภิวัฒน์จะกลายเป็นยุคแห่ง"โลกาวินาศ" หรือไม่
เพราะทุกวันนี้ไม่ว่าจะหันหน้าไปทางใดเราก็จะเห็นแต่ทุนนิยมบริโภคนิยมและวัตถุนิยมกันเสียสิ้น การค้าเสรีที่มีแต่วัตถุนั้นไม่ได้ช่วยให้จิตใจของมนุษย์สูงขึ้น ตรงกันข้ามกลับทำให้ต่ำลงอย่างเห็นได้ชัด และนี่เป็นที่มาของเหตุการณ์ภัยพิบัติต่าง ๆ ในโลกมนุษย์ อาตมาเชือในพระพุทธพจน์อยู่ข้องหนึ่งว่ "โลกนี้จะวุ่นวาย เพราะหมู่มนุษย์ไม่ตั้งอยู๋ในธรรม" ทั้งจากภัยสงคราม และภัยจากธรรมชาติ จึงเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบน โดยมีเหล่าเทพ พรหม พระโพธิสัตว์ พระอริยบุคคลทั้งหลาย จึงคิดหาทางช่วยเหลือมวลมนุษย์ โดยเฉพาะที่ตั้งอยู่ในธรรม ให้อยู่รอดปลอดภัยให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพราะอีกไม่นานแล้วที่หลักธรรมแห่งพระบรมศาสดาแท้ ๆ จะเลือนหายไป ขาดผู้ปฏิบัติอย่างถูกต้อง การสืบต่อแห่งพระพุทธศาสนาก็จะสินสุดลง โลกนี้จะเป้นอย่างไรคงต้องติดตามดูกันเอง
หน้าที่ของอาตมาก็คือ การประกาศถึงบารมีแห่งพระศรีอารย์บรมโพธิสัตว์หน่อเนื้อพุทธภูมิองค์สำคัญแห่งภัทรกัปนี้ ผู้ที่เคยศึกษาในคัมภีร์อนาคตวงศ์จะเห็นความเชื่อที่สืบทอดมายาวนานของพระพุทธศาสนาเกี่ยวกับคำพยากรณ์ของพระพุทธองค์ที่ทรงตรัสไว้ถึงพระบารมีอันยิ่งใหญ่ไพศาลแห่งพระบรมโพธิสัตว์พระองค์นี้ ทั้งหมดล้วนเป็นความจริงและจะปฏิเสธไม่ได้เลยถึงความศักดิ์สิทธิ์ที่เกิดจากการบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย การช่วยเหลือมวลมนุษย์ เป็นหน้าที่ของสิ่งศักด์สิทธิ์ทั้งหลาย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในจักรวาล ก็ไม่มีสิ่งใดเกิน "พระรัตนตรัย"
คุรุแห่งโลกวิญญาณ
หลงปู่ทวด ในฐานะ คุรุแห่งโลกวิญญาณ ในฐานะแห่งพระโพธิสัตว์ที่มีบารมีเต็มเป็นภาคหนึ่งเเห่งพระศรีอารย์บรมโพธิสัตว์ที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป ได้สอนถึงการแผ่เมตตาออกไป โดยไม่มีประมาณทั่วแสนโกฏิจักรวาลอนันตจักรวาล คือ หลังเสร็จจาก การไหว้พระสวดมนต์แล้วให้นั่งสมาธิ หรือเจริญวิปัสสนาพิจารณาธรรมต่อไป จากนั้นจึงกำหนดจิตแผ่เมตตาออกไป ตามทิศทั้งหก และทั่วแสนโกฏิจักรวาลอนันตจักรวาล ตั้งแต่ ทิศเบื้งบน เบื้องล่าง เบ้องหน้า เบื้องหลัง เบื้องขวา และ เบื้องซ้าย และแผ่ออกไปโดยไม่มีประมาณตามลำดับ จนกว่ารัศมีแห่งจิตจะปรากฏรังสีขาวนวลสว่างแผ่กระจายออกไปจริง ๆ สุดท้ายจึงแผ่เข้ามาภายในตัวคือกายกับจิตของเรา ซึ่งสามารถฟอกกายและจิตของเราให้สะอาดบริสุทธิ์ได้ด้วยอำนาจแห่งเมตตาเจโตวิมุตติ อันเป็นอัปปมัญญาพรหมวิหาร ข้อปฏิบัติชั้นสูงในพระพุทธศาสนา โดยผู้บำเพ็ญบารมีเพื่อปรารถนาพระโพธิญาณ หรือปรารถนาพระนิพพานก็ตาม จะละเว้นเสียมิได้ เป็นทั้งการพัฒนาจิตยกระดับจิต และฝึกจิตให้เกิดบุญฤทธิ์และอิทธิฤทธิ์ ได้ตรงตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ส่วนการรวมจิตให้เป็นสมาธินั้น ไม่ควรลังเลสงสัยในคำบริกรรมหรือขั้นตอนวิธีการให้มากนัก
หลักปฏิบัติขององค์หลวงปู่ทวด เน้นที่ สติ กับ ลมหายใจ อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่เน้นที่รูปแบบใด ๆ จิตที่จดจ่อกับลมหายใจ(จดจ่อไม่ใช่บังคับ)
เรียกว่า "อานาปานสติ" แปลว่า ลมหายใจแห่งสติ หายใจอย่างไรให้ได้สติ ฝึกสติอย่างไรให้เกิดปัญญา เรื่องเหล่านี้ต้องอาศัยการฝึกฝนอย่างถูกต้องและต่อเนื่อง ส่วนนิมิตที่เกิดจากสมาธินั้น เป็นเรื่องธรรมดาของผู้ปฏิบัติอยู่แล้ว ไม่ควรตื่นเต้นหรือตกใจ แต่ควรทำใจเป็นกลาง ไม่เอนเอียงหรือขึ้นลง การเอนเอียงหรือขึ้นลงของจิต เกิดจากอำนาจของกิเลส
เมื่อผ่านบททดสอบทางจิตแล้ว ขั้นต่อไปก้จะเป็นเรื่องของมิติแห่งโลกวิญญาณที่มีความลึกซึ้งและสลับซับซ้อนมาก ยิ่งเข้าไปสัมผัสยิ่งน่าอัศจรรย์ใจ แต่ที่สุดแล้วก็ไม่มีอะไร ส่วนใหญ่แค่บททดสอบทางจิต เช่น ภาพนิมิตต่าง ๆ นั้นก็ไม่ค่อยจะผ่านกันอยู่แล้ว จึงแทบไม่ต้องพูดถึงขั้นต่อไปเลย
ลำดับขั้นแห่งสมาธิ
ถ้าจะแบ่งลำดับขั้นของสมาธิแล้วก็พอจัดได้ดังนี้ ขั้นแรกก็คือขั้น"รวมจิต" คือ ฝึกอย่างไรก็ได้ให้จิตมันรวมเป็นหนึ่งเสียก่อน ใช้วิธีไหนก้ได้ตามถนัด เมื่อจิตรวมเป็นหนึ่งแล้ว ก็จะเกิดพลังจิตอันเป็นขั้นต่อไป คือขั้น "จิตทิพย์" เกิดอำนาจทางจิตหลายอย่าง ถ้ารู้จักใช้ก้จะเป็นประโยชน์ในการปฏิบัติธรรม ถ้าไม่รู้จักใช้ก็จะถอยหลังลงคลองไปเลย ถ้าทำบุญมาดีก็จะถึงขั้น
"มิติทิพย์" คือ จิตสามารถสัมผัสถึงมิติแห่งโลกทิพย์โลกวิญาณได้ตามความละเอียดของจิตทิพย์นั้น ๆ ซึ่งมีความลึกซึ้งพิสดารมากมายสุดจะพรรณนา ถ้าไม่หลงทางเสียก่อน (หมายถึงทางไปนิพพาน) ก็จะได้เจอ "คุรุแห่งโลกวิญญาณ" ที่มีทั้งพระอริยสงฆ์ อริยเทพ อริยพรหม เทพโพธิสัตว์ พรหมโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ พระฤาษี พระลามะธิเบต เหล่าเซียนผู้วิเศษแห่งสรวงสวรรค์ เเละท่านผู้สำเร็จท่านผู้ทรงคุณธรรมท่านอื่น ๆ ที่อยู่ในโลกวิญาณ คอยอบรมสั่งสอนให้เข้าถึงธรรมชั้นสูงต่อไป ตามหน้าที่และความเกี่ยวพัน ซึ่งจะได้ธรรมชั้นระดับใดนั้น ก็สุดแท้แต่บุญบารมีของผู้ปฏิบัติเป็นสำคัญ นอกจากการแผ่เมตตาทางกระแสจิตแล้ว การกล่าวคำอุทิศส่วนกุศลด้วยวาจาก็เป็นสิ่งจำเป็น