พระพุทธเจ้าเสด็จประทับรอยพระบาท
หน้ากุฎิ คุณแม่จันดี
ก่อนท่านจะเสด็จประทับรอยพระบาท มีเสียงดังขึ้น
“ดำเนินมาด้วยพระบาทเปล่า ประทับรอยเท้าไว้ในโลกา
บัญญัติขึ้นใหม่ ประทับรอยเท้า ไว้ในพื้นไม้ ที่ยืนอยู่”
ขณะองค์ท่านประทับรอยเท้า มีดอกบัวใหญ่ สีชมพูรองรับ บนศีรษะองค์ท่านสว่างไสว เป็นรูปใบโพธิ์ครอบไว้
ขณะองค์ท่านวางพระบาทลงไปพื้นไม้ยุบลึกลงไป ประมาณ ศอกกว่าในรอยพระบาทมีความสว่างไสวเกิดขึ้นทันที รอบ ๆ บริเวณก่อนท่านประทับรอย มีพระสงฆ์สาวก นั่งล้อมรอบเป็นระเบียบเรียบร้อยมากแสนมาก บนเศียรท่านทุก ๆ องค์ มีความสว่างเป็นรูปใบโพธิ์เหมือนพระพุทธเจ้าทุกองค์
มีเสียงบอกขึ้นมาอีก“ก้าวตามรอยของเรามา จะถึง
ทำให้ถึงเถิด เกิดแน่มรรคผล ไม่อับจนกับผู้พากเพียร”
ขณะที่พระหลวงตาฟังคุณแม่จันดีกราบเรียนเสร็จ
ท่านถาม “องค์ท่านเสด็จประทับที่ไหน” คุณแม่ลุกขึ้นชี้บอกท่านว่า “ประทับตรงนี้” ท่านถามต่อ “รู้ไหมเป็นพระพุทธเจ้าองค์ไหน” คุณแม่ตอบ “พระพุทธเจ้าองค์พระสมณะโคดมองค์ปัจจุบัน” ...ต้องขออภัย ด้วยวัย และเวลาผ่านมานานจำได้เท่านี้
เป็นบุญเหลือเกินที่ข้าพเจ้า บังเอิญได้ยินคุณแม่จันดี กราบเรียนพระหลวงตาช่วงประมาณบ่าย 3 โมงครึ่ง ที่หน้ากุฏิท่าน เดือนพฤศจิกายน ปีพ.ศ.2543
พระจิตที่บริสุทธิ์ ขัดธาตุขันธ์ให้เป็นพระธาตุ
ขอเล่าถึงสิ่งที่ทุกคนอาจจะอยากรู้ เหมือนผู้เล่าเคยสงสัยมานาน และอยากรู้ ว่าทำไมธาตุ ของพระผู้บริสุทธิ์ จึงเป็นพระธาตุ
วันนั้น พ.ศ.2543 คุณแม่จันดี
เมตตายื่นพระธาตุองค์เล็กมาวางลงบนฝ่ามือ
หลังจากท่านยกมือขึ้นพนมเหนือหัว ท่านบอก
“เอ้านั่ง จิตระลึกพุทโธอย่าให้ขาด สติจ่อลงที่จิต
เอาจิตย้อนรวมกับตาเนื้อ ดูเข้าไปในองค์พระธาตุ ขณะนั้น
สิ่งที่เห็นเป็นเหมือนจอภาพใหญ่จากทีวีอยู่ในองค์พระธาตุ
ในภาพเห็นพระองค์หนึ่งยืนอยู่ ตรงกลางอกของท่านสว่างไสว
แสงสว่างขาวใส นวลงามมาก
สักพักร่างท่านโปร่งมองเห็นข้างในไม่มีหนังเนื้อปิดบัง
“เห็นดวงสว่างที่อยู่กลางอก วิ่งขึ้นลง รอบกระดูกสันหลัง
วิ่งขึ้น วิ่งลง ส่องแสงสว่างไสวรอบกระดูกสันหลังวิ่งขึ้น-ลงอยู่นาน
ตอนนี้กระดูกสันหลัง ค่อย ๆ สว่างขึ้นทีละน้อย ๆ มีเสียงบอกดังขึ้นว่า “พระจิตที่บริสุทธิ์ ทำการขัดธาตุขันธ์”
ต่อมากระดูกสันหลังเหมือนไม่ใช่กระดูก
กลายเป็นแก้วใส ๆ ในรูปโครงกระดูกอันเดิม
ต่อมาเห็นดวงสว่าง วิ่งขึ้นไปบนเส้นผม ความสว่างวิ่งตามเส้นผมทุกเส้นพร้อม ๆ กัน ดวงสว่างขัดขึ้นลง สว่างจ้าโดยรอบ
ขัดไปมา แสงสว่างวิ่งเร็ว ขึ้นลง ๆ เส้นผมเปลี่ยน เปล่งประกาย
มีแสงสีต่าง ๆ สารพัดสีเป็นแสงสีเจิดจ้ามาก ตอนนี้เส้นผมทุกเส้น กลายเป็นพระธาตุ องค์พระธาตุเกาะเรียงติดกันตามเส้นเกศา
มีแสงสีสารพัด สีสดใส เหมือนสายรุ้ง พาดผ่าน ประสานกัน
ต่อมาเห็นพระจิตที่บริสุทธิ์ เคลื่อนลงมาที่กระดูกขาทั้ง 2 ข้าง
ความสว่างวิ่งขัดขึ้นลง ตามกระดูกขา ขัดจนกระดูกขาทั้งสองข้าง
เลื่อมระยับ กลายเป็นพระธาตุ โครงร่างของพระที่ยืนอยู่
ตอนนี้สว่างจ้าขึ้นทั่วทั้งร่าง
ความสว่างวิ่งขึ้นลงประสานกันบน-ล่าง-ขวา-ซ้าย-สถานกลาง
ในที่สุดโครงสร้างของธาตุขันธ์ทั้งหมด ขณะนี้ดูโปร่งใส
สว่างไสวดั่งไม่ใช่ธาตุขันธ์อีกต่อไป
ตอนนี้ความสว่างจากโครงร่างของท่านมีทุกสีสัน
วิ่งพุ่งขึ้นลง สลับสับเปลี่ยนสีต่าง ๆ อย่างน่าอัศจรรย์
มีเสียงดังขึ้น “ธาตุไม่ใช่ธาตุ ประกาศความศักดิ์สิทธิ์
วิเศษ ของธรรม บริสุทธิ์ หลุดจากสมมุติ”
ภาพหายไป เหมือนเราปิดทีวีทิ้งไว้ แต่ภาพที่เห็น
ประทับไว้ในใจ ที่พอระลึกได้
มาเล่าเทิดทูนบูชาธรรมของท่านผู้บริสุทธิ์
ลูกขอกราบแทบเท้าถึงคุณของพระคุณแม่จันดีที่เมตตา ให้ปุถุชน คนหนา มิดดำได้เห็นความอัศจรรย์ ของพระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า
กราบขอขมาท่านผู้มีธรรมเหนือโลกทุกพระองค์
กราบขออภัยทุกท่าน อยู่ที่ต่ำแต่นำเรื่องท่านผู้อยู่สูงสุด เหนือโลกมาเล่า
~~~
ปรัชญาธรรม
คุณแม่จันดี...เทียบโลก เทียบธรรม
ร่างของแม่ สลาย เมื่อถึงกาล
คงได้รู้ ก็เมื่อสาย หายเห็นผิด
ถึงจะคิด อยากให้ฟื้น ฝืนไม่ได้
โลกไมเที่ยง ความพลัดพราก จากเจ้าไป
ฝากธรรมไว้ ในใจ ให้พิจารณา
อย่าได้ท้อ ไม่มีแม่ ชะแง้หา
สุดอ้างว้าง ไม่ห่างทาง แม่นำพา
คอยลูกมา ยื่นมือไว้ ให้เจ้าดึง
~~~
อาภรณ์ของโลก วัตถุของโลก
มีอยู่ประดับโลก ทั่วไป
ทิ้ง ความโลภ ความโกรธ ความหลง
สละแล้วซึ่งตัวตน พ้นแล้วซึ่งโลก
บริสุทธิ์ สะอาด ปราศจากทุกข์...นิพพาน
~~~
สะพานโลก สะพานธรรม ขาดลง ตรงกลางจิต
จึงประดิษฐ์พระขึ้นทั้งองค์ วิสุทธิจิต วิสุทธิธรรม
เลิศล้ำ เหนือโลก จิตเป็นธรรมชาติ
~~~
สิ้นทุกข์ สิ้นโลก สิ้นธรรม
เหนือบัลลังก์โลก เหนือบัลลังก์ธรรม
ที่สุด ที่สุด ของที่สุด จึงเรียกว่าเหนือ
จิตพุทธะ
~~~
ธรรมเอกหนึ่ง ไม่มีสอง
บรมสุข แท้ คือนิพพาน
พระพุทธเจ้า พระอรหันต์สาวกองค์สุดท้าย
เป็นธรรมดวงเดียวกัน เสมอกัน
~~~
แดนแห่งธรรม ช่างงามล้ำ สิ้นกิเลส
กายทะลุ หัวใจพัง จึงถึงฝั่งพระนิพพาน
วางความอาลัย ใด ๆ ในโลก ก้าวผ่านไป อย่างไม่ใยดี
สะอาด หมดจด หลุดพ้น จากสิ่งเกาะเกี่ยวใด ๆ ทั้งปวง
วางโลก ~ วางธรรม ชำระกิเลส ปราศจากทุกข์
เสวยสุข ครองธรรม บรมสุข วิมุติ
~~~
น้ำตาแห่งทุกข์ ~ น้ำตาแห่งสุข
สละโลก คือ สละทุกข์
สละสุข คือ สละโลก
สละโลก จึงได้ธรรม
สละธรรม จึง เหนือโลก
ธรรม เหนือ โลก
เหนือ โลกวัฏฏะ สร้างพระที่ใจ
ผู้ใดหมั่นพิจารณาจิต
ผู้นั้นจะพบธรรมแท้ สุขแท้
บริสุทธิ์ สะอาด ปราศจากสิ่งเจือปน
พ้นได้ที่ใจ มีพระนิพพานเป็นที่ไป
คือที่สุด ของผู้หยุดวัฏฏะ
~~~
จิตยิ่งใหญ่
ธรรมชาติของจิตมีทั้งสงบและทุกข์ แต่สิ่งที่
ทำลายจิต คือ ทุกข์ เมื่อจิตทุกข์แล้ว
ความเจ็บป่วยของจิตย่อมเกิดตามมา
ความเศร้า ความกังวล และความละอาย
ความคิดอยากทำลายตัวเอง คือ สัญญาณ
บอกว่าจิตกำลังไม่สบาย
หยุดคิด คือ หยุดทุกข์
เพราะทุกข์คือโรคร้ายของจิต
หากไม่หยุดคิดวุ่นวาย ความทุกข์ก็ย่อมเกิด
ขึ้นอยู่ร่ำไป เมื่อประสบปัญหาเราต้องหายา
รักษาจิต ซึ่งมีอยู่ชนิดเดียว ไม่เคยล้าสมัย
ได้ผลยอดเยี่ยม คือ พุทโธ เมื่อคิดพุทโธแทน
ความทุกข์จิตที่วุ่นวายก็เริ่มอยู่นิ่ง และสัมผัส
กับความสงบได้ ความคิดต่างๆ ที่รุมเร้า
ก็ผ่อนคลายลงได้
รักษาทุกข์ด้วยยา คือ พุทโธ
พุทโธ ไม่ใช่คำกำจัดความของศาสนาใด
ศาสนาหนึ่งคือ พุทโธ เป็นยารักษาจิต
ที่ยอดเยี่ยมที่สุดนี้คือยาที่ทุกคนสามารถ
พิสูจน์และทดลองได้ด้วยตนเอง ผู้ที่ยอม
กินยานี้ย่อมประสบกับความสงบในจิต
หยุดความทุกข์จากความคิดทั้งปวงได้
และเห็นผลอย่างแน่นอน อยากให้ทุกคน
พิสูจน์ทดลองเพราะโรคทุกข์มีอยู่ในใจ ของทุกคน
~~~
บนโลกใบนี้ทุกอย่างมีคู่เสมอ
ถ้าเป็นถนนก็มี 2 เส้นคู่ขนาน เส้นที่ 1 เป็นเส้นทางที่เต็มไปด้วยผู้คนเดินอย่างรีบเร่งเต็มไปหมด ถนนเส้นนี้ถูกเรียกขานว่า ถนนแห่งชัยชนะ ถนนแห่งความสำเร็จที่ผู้คนที่เดินอยู่มีทั้งสมหวัง และผิดหวัง มีทั้งทุกข์ และสุขเมื่อได้สิ่งที่ตัวเองต้องการและผู้ผิดหวัง – ทุกข์เมื่อไม่ได้อย่างที่ตัวเองหวัง
หรือผู้อื่นอยากให้เป็น
ส่วนเส้นที่ 2 เรียกว่า ถนนแห่งความผิดหวัง เป็นถนนที่ดูเงียบเหงา ปราศจากผู้คน ถนนโล่งแจ้ง ไม่มีการแข่งขัน ไม่มีรางวัล
ไม่มีทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ทุกคนใฝ่ฝันอยากได้ ถนนเส้นนี้จึงตรงกันข้ามในทุก ๆ อย่าง ทุก ๆ เรื่อง กับถนนอีกเส้นผู้ผิดหวังหลายคนจำต้องเลือก ทางเส้นนี้ แต่ก็มีผู้มีปัญญาหลาย ๆ ท่าน ก็เลือกที่จะเดินทางเส้นนี้เช่นเดียวกัน เป็นทางเดินที่ว่างเปล่า ไม่มีแท่นแห่งชัยชนะไว้เชิดชูเกียรติ ไม่มีรางวัล ไม่มีคำสรรเสริญ ไม่มีลาภ – ยศตำแหน่งเป็นถนนที่ดูปราศจากทุกอย่าง เป็นถนนที่ผู้คนไม่อยากเดิน แต่ผู้เดินอยู่บนถนนเส้นนี้ ยิ่งเดินไปได้ไกล แค่ไหนทุกคนกลับดูเงียบสงบ ปราศจากการดิ้นรน ความเร่าร้อน ไม่มีให้เห็นในกิริยาอาการ แต่หลายคนต้องพลัดตกออกไปสู่เส้นทางเดิมเหตุเพราะทางเส้นนี้ไม่มีสมบัติที่ตัวเองต้องการ ไม่มีลาภยศ ม่มีคำสรรเสริญ ไม่มีกระดาษที่ทุก ๆ ชาติ กำหนดให้แลกเปลี่ยนสินค้าได้ไม่ตกอยู่ภายใต้กฎหรือข้อบังคับการกำหนดใด ๆ ของใคร เดินเข้าหา ความมืดที่ปกคลุมปิดบัง ค้นหา เปิดออก ในความมืดนั้น มีแสงสว่างจริงหรือ ? เพราะผู้ที่ท่านเดินก่อน
ท่านยืนยันว่า “ท่ามกลางความมืด มีความสว่างอยู่จริง ท่านพบแล้ว และหาวิธีจัดการกับความมืด ที่ปกปิดความสว่างได้สำเร็จ ความมืดไม่กลับมา
ทำให้ท่านได้รับความเดือดร้อนอีกต่อไป…”
ทางคู่ขนาน 2 เส้นนี้ สุดแต่ผู้ต้องการจะตั้งชื่อ แต่ความเป็นจริง มันก็คือ ทางดำมืด และทางสว่าง ที่มีอยู่คู่กันเสมอ ทุก ๆ อย่างมีคู่ มีทุกข์ – สุข, มั่งมี – ยากจน, ผู้แพ้ – ผู้ชนะ, ผู้ดีใจ – ผู้เสียใจ เช่นเดียวกับมืด และสว่าง มีอยู่คู่กันเสมอมา และตลอดไป…สุดแต่ใครจะค้นพบ และยอมเดิน ทางสว่าง ผู้เดินทางเส้นนี้ทุกท่านแลกมาด้วยชีวิต ท่านผู้พบเจอ พยายามชี้ทางบอกผู้คน และท่านเหล่านั้น ก็หายไปพร้อมอายุขัย และทิ้งแผนที่บอกทางเดินไปสู่ชัยชนะแห่งความสว่าง…ที่นั่นมืด ที่นี่สว่าง มันอยู่ในใจของทุกคน.
~~~
แท่นแห่งชัยชนะ
เท้าหลายคนได้เหยียบย่าง และยืนบนแท่นนี้มาแล้ว ท่ามกลางคราบน้ำตา
ของผู้แพ้ เหยียบผ่านทุกข์บนหัวใจหลาย ๆ ดวงกว่าจะมีวันนี้
วันแห่งชัยชนะ สมหวัง และที่เดียวกันก็มีผู้แพ้ ที่ไม่สมหวัง พร้อมคราบน้ำตา
อยู่ในที่เดียวกัน แต่ฉันผู้ได้รับชัยชนะในเวลานี้ ฉันจะเป็นผู้แพ้ในกาลต่อมาหรือไม่ เสียงกรีดร้องเพราะสมหวัง และเสียงกรีดร้องเพราะผิดหวัง จึงดังระงมในที่เดียวกัน ซีกหนึ่งสมหวัง อีกซีกหนึ่งผิดหวัง
สูญเสีย คราบน้ำตา และหัวใจที่ยับเยิน
แท่นแห่งชัยชนะนี้ คือแท่นแห่งทุกข์หรือเปล่า ทำไมมีผู้คนแก่งแย่ง แข่งขัน พยายามขึ้นไปยืน เหมือนเป็นความฝันอันสูงสุด จะมีใครรู้ไหมว่าที่นี่ไม่ใช่ที่สุดของสุข แต่เป็นที่สุดของทุกข์ ที่เกิดขึ้นเต็มไปหมดในที่เดียวกัน ถ้าเราเปลี่ยนจากผู้ชนะ เป็นผู้แพ้ เราจะรู้ไหมว่า แพ้ หรือ ชนะล้วนหน้าสงสาร แข่งขัน แย่งชิง ที่จะขึ้นไปยืน บนแท่นที่ถูกตั้งชื่อว่า “สุดยอด เก่งที่สุด”
มันคือ แท่นแห่งความสุข – สมหวัง แท่นของชัยชนะหรือ
จะมีคนมองไปรอบ ๆ บริเวณที่ประกาศชัยชนะ จะเห็นความจริงไหมว่า แท่นเสกสรรสุขจอมปลอมให้ผู้คนหลงเดิน – วิ่ง
แท่นนี้คือ “แท่นแห่งทุกข์” สู่มรณะภัย ทำร้ายจิตใจตัวเอง และอื่น
~~~
ครั้งหนึ่งในชีวิต...
ความหวัง…ในวันที่เหนื่อยล้า
จำความได้ชีวิตเติบใหญ่มาท่ามกลางความยากเข็ญ
สู้บุกบั่น ขยันเรียน แต่ความลำบากบังคับ ต้องหยุดเรียน
ตามความจำเป็นทางครอบครัว ในวัยเด็กพอทำงานแลกเงินได้
ยอมสู้ทนกับงานทุกอย่างที่มีเข้ามา
ชีวิตในวัยหนุ่มมีโอกาสได้บวช แล้วแต่งงานมีครอบครัว มีลูกหลายคนลูกทุกคนต่างดิ้นรนไปตามวิถีชีวิตของตัวเอง ยากลำบากชะตาชีวิตของใคร คงเป็นของคนนั้น ไม่มีใครเปลี่ยน หรือช่วยกันได้…วิถีกรรม เป็นกงจักรใหญ่คอยตามบีบบังคับ บีบคั้น ชีวิตวัยเด็ก วัยหนุ่ม วัยชรา ล้วนผ่านมาด้วยความทุกข์ ตรากตรำ เป้าหมาย คือผู้โดยสารที่ยืนข้างถนน วัยชราช่างเป็นอุปสรรค แม้รถคันนี้จะเป็นรถคู่กายมาแต่วัยหนุ่ม รถกับคนขับคงมีสภาพไม่ต่างกัน แดดจ้าในยามบ่าย ดูโหดร้ายสำหรับชายวัยชราผู้เหนื่อยล้า
ความทุกข์...ความแก่เป็นเหตุ ให้ต้องหันกลับมาพึ่งวัดอีก
เสียดายเวลาที่ผ่านมาทั้งร่างกายและจิตใจก็พร้อมสำหรับปฏิบัติธรรม
แต่ด้วยวิถีกรรม ทำให้ต้องไปมีครอบครัว
ลมหายใจในบั้นปลายของชีวิต...ขอตายกับธรรม
ท่านผู้ให้...ชีวิตใหม่
ชีวิตฉันเกิดมามีแต่เรียนหนังสือ เรียนจบทำงาน
ตั้งความหวังไว้ในใจว่า จะต้องเป็นคนเก่งที่สุด ไม่เคยรู้เลยว่าคนที่เหนือกว่าเรายังมีอีกมากมาย ความผิดหวังมาเยือน...ต้องอาศัย ความมืดเป็นเกราะกำบัง ต้องหลบซ่อนอยู่ แอบแฝงเงามืดเพื่ออำพรางปกปิด ความอ่อนแอ ท้อแท้ ผิดหวัง ฉันได้พบวิธีขจัดความมืดออกจากใจ คือธรรมของพระพุทธเจ้า ให้มีสติ อยู่กับปัจจุบัน ระลึกรู้อยู่กับ “พุทโธ” ที่ทุก ๆ คนสามารถทดลองได้...ก่อนจะสาย... เสียแล้ว เชื่อว่าหลาย ๆ คนอาจจบชีวิตตัวเองเพราะความผิดหวังทั้ง ๆ ที่อยากพบความสว่างบ้างในชีวิต บางคนคิดว่าความมืดดีที่สุดแล้ว เพราะไม่เคยพบสิ่งเหล่านั้น จึงเป็นการยากที่ผู้คนจะเห็นตาม นอกจาก คนผู้นั้นต้องเสียสละ ยอมทิ้งละทุกอย่าง และพิสูจน์ด้วยตนเอง ไม่ใกล้ ไม่ไกล ค้นลงไปที่ “ใจ” ของเราเองทุกคนมี “ใจ” เป็นอาวุธ คือความจดจ่อต่อเนื่องจะพบที่เกิดของเหตุ และที่ดับเหตุ การเดินทางสิ้นสุดลง หยุดการค้นหา เป็นอิสระ หลุดจากอำนาจมืดที่คอยบีบคั้น บังคับ มองกลับไปเห็น เพื่อน ญาติ พี่น้อง ที่เคยเดินบนทางท่องเที่ยว ที่ยาวไกล ไม่มีที่หมาย ไม่มีจุดจบ มุ่งหน้าเดินไปเรื่อย ๆ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งที่ตัวเองพยายามหาอยู่นั้นจะได้หรือไม่
ท่านผู้พบทางสว่างแล้ว ท่านบอก “ทุกข์ เพราะไม่ได้ตามความอยาก, สุข เพราะคิดว่า สำเร็จ -> สมหวัง แต่ทั้ง 2 อย่างไม่ได้ตั้งอยู่นาน และตลอดไป ความผิดหวังจึงมาเยือน ทุกอย่างจำต้องเปลี่ยนไป – มา, สลับเปลี่ยน หมุนเวียน เป็นความจริงที่ลบออกไม่ได้…
ไม่อยากได้ ก็เป็น ทุกข์
อยากได้ – แต่ไม่ได้ ก็ทุกข์”
“เมล็ดพันธุ์ทุกชนิดงอกเงยได้ดีที่ไหน คือที่ ใจ เรานั้นเอง”
ธรรมที่คุณแม่จันดี ช่วยชีวิต ปี 2543
ชีวิตที่เปลือยเปล่า
ฉันเห็นจุดจบของเพื่อนคนหนึ่งต่อหน้าต่อตา เพื่อนจากโดยไม่ได้บอกลา ไปอย่างกะทันหัน เงียบวังเวง…เยือกเย็น นี่คือบรรยากาศโดยรอบในขณะนั้น เหมือนฝัน ร่างของเพื่อนนอนเงียบทอดยาวเปลือยเปล่า จากทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เคยแบก และรับภาระอยู่ ทิ้งทุกอย่าง จากไปไร้ร่องรอย ทิ้งไว้แต่ความทรงจำ ในความรู้สึกของผู้ที่รู้จัก ใกล้ชิด ญาติมิตร เพื่อนพ้อง
ชีวิตของเพื่อนเป็นเครื่องหมายของความทุกข์ อยากจะบอกเพื่อนว่า เพื่อนจากไป แต่ให้อะไรกับผู้ยังอยู่อีกมากมาย ให้สัจจะธรรมความจริง ยิ่งกว่าการให้ใด ๆ … ชีวิตจบแต่การเดินทางไม่สิ้นสุด ช่างเป็นความโหดร้าย ที่น่าสะพรึงกลัว ฉันเข้าใจวิถีทางของเพื่อน และตัวฉันเอง ฉันรู้สึกหนาว…เยือกเย็น…หวาดกลัว วันข้างหน้าที่ตัวฉันต้องเผชิญบ้าง ช่างเป็นชีวิตที่เปลือยเปล่า ต้องจากไปอย่างไร้คุณค่า รู้ทั้งรู้ ทำไม ๆ ๆ ๆ ฉันจึงหาทางออกไม่ได้ ฉันไม่อยากมีชีวิตที่ต้องจากโลกนี้ไปอย่างเปลือยเปล่า และเปล่าเปลือย…
นี่คือ...เหตุการณ์ที่ช่วยผลักดัน ให้ฉันกลัวความไม่เที่ยง กลัวความจริงที่จะเกิดกับตัวเอง ฉันจะพึ่งใคร ใครจะช่วยฉันได้ ถ้าฉันไม่พึ่งธรรม ฉันแสวงหาครูบาอาจารย์ที่จะช่วยฉันได้ก่อนตาย
เกือบจะสาย...กว่าจะได้เจอคุณแม่จันดี
ตะลึงพบมิติใหม่
ฉันมีโอกาสได้เข้าไปวัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี เพื่อทำบุญจะได้หายจากทุกข์ ตามความเข้าใจ หลังจากถวายอาหารบนศาลา ในสมัยนั้น เจ้าอาวาสพระหลวงตามหาบัวซึ่งเป็นหัวหน้าวัดรับประเคนอาหาร จากผู้ถวายเอง เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2525 ผู้คนมีน้อยเทียบกับปัจจุบัน แต่ท่านก็เมตตาให้อุบายวิธีทางออกจากทุกข์ ท่านบอกให้พักจิต ให้คิดพุทโธแทน ก่อนนอนก็ไหว้พระสวดมนต์ ให้หลับไปพร้อมพุทโธ ตื่นมารู้สึกตัวก็รีบพุทโธ จิตได้พักเหนื่อย จะได้มีกำลัง ไปทดลองทำในคืนนั้น พบว่าตัวเองเข้าไปสู่อีกมิติหนึ่ง เป็นความเวิ้งว้าง เยือกเย็น เบาเหมือนไม่มีกาย เห็นแต่ลมหายใจ คดเคี้ยว เข้า – ออก ไม่ปรากฏว่ามีตัวตนเป็นอยู่นาน รู้สึกถึงความแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นจากอานุภาพ ของคำว่า พุทโธ ๆ ๆ ๆ จึงหาโอกาสพักจิตด้วยพุทโธก่อนนอนทุกวัน
จนวันหนึ่งจิตเห็นตัวเองย่อส่วนเป็นตัวเล็ก ๆ กำลังตกลงเหวลึก รู้สึกกลัวมาก ไม่กล้าพุทโธอีก มีโอกาสมาทำบุญที่วัดป่าบ้านตาดอีก
จึงกราบเรียนถามท่านพระหลวงตามหาบัว ท่านตอบว่า
“อย่ากลัวให้ทำต่อ มันเป็นเพียงอาการของจิต ตัวจริง ๆ เราไม่ได้เป็นอย่างนั้น”
ในค่ำวันนั้นก่อนนอนได้ปฏิบัติตามท่านบอก ขณะภาวนาเหตุการณ์ก็เกิดขึ้นเหมือนครั้งที่แล้ว…จึงพยายามระลึกตามคำสอนของท่านว่า “ตัวจริง ๆ เราไม่ได้เป็นอย่างนั้น” ไม่นาน ทุกอย่างจึงสงบลง…
“จิตสงบพบความสุขอัศจรรย์ จนเวลาผ่านไปถึงตี 5 จิตจึงถอน”
ชีวิตของฉันกับวัดป่าบ้านตาด ดูจะแยกไม่ออก จากนั้น…ฉันได้เจอ ครูบาอาจารย์ในวัดป่าบ้านตาด ทราบภายหลังว่าท่านคือน้องสาวของ
พระหลวงตามหาบัว
ชื่อคุณแม่จันดี โลหิตดี
โดดเดี่ยว
ฉันเกิดมามีแต่ห่วงใยคนนั้น คนนี้ กลัวการพลัดพราก ไม่อยากให้คนที่เรารักต้องตาย เพราะเป็นเรื่องเศร้าที่สุด ยากที่จะลืม แม่ต้องมาตายเพียงท่านอายุ 58 ปี (ล้มก้นกระแทกในห้องน้ำ) แม่เป็นคนอ้วน
แม้เวลาจะผ่านไปเป็น 10 ปี ก็ไม่เคยลืมแม่เอาผ้าขนหนูที่แม่เคยใช้มากอดนอนทุกคืน ไม่นานพ่อก็มาจากไปอีกคน ฉันรู้ถึงความโดดเดี่ยวไร้ที่พึ่ง กลัวความตาย จิตใจอ่อนแอ ไม่กล้าแม้กระทั่งจะขับรถยนต์เอง
พยายามทำงาน ทำงาน เพื่อจะลืมท่านทั้งสอง
ก็พยายามใช้ธรรมะเข้าช่วย หลังเลิกงานไปทำสมาธิ ทำวัตรเย็นที่วัดป่าบ้านจิก (พระหลวงปู่ถิร จังหวัดอุดรธานี) ท่านก็จะเทศน์ทุก ๆ วันพร้อมทำสมาธิไปด้วย ทำให้จิตใจเริ่มเข้มแข็งขึ้นกล้าที่จะขับรถยนต์เอง สิ่งแรกที่คิดถึงตลอดเวลาคือการขับรถยนต์ไปวัดป่าบ้านตาดด้วยตัวเอง คิดถึงพ่อตอนเด็ก ๆ พาไปกราบพระหลวงตามหาบัวที่บนกุฏิของท่าน และท่านเมตตามอบหนังสือธรรมะหลาย ๆ เล่ม พ่อจะเห็นคุณค่าของหนังสือธรรมะนี้มาก พ่อว่า “มีเงินจะซื้อทองตอนไหนก็ได้ แต่หนังสือธรรมะนี้ใช่ว่าจะมีตลอดเวลาเหมือนทองคำ”
วันหนึ่งหลานเจออุบัติเหตุ คางแตก เลือดไหล ตกใจกลัวมาก กลัวการพลัดพราก ใจเกาะติดแต่การพลัดพราก และความตาย รู้สึกเป็นทุกข์ โดดเดี่ยวไร้ที่พึ่งพยายามคิดถึงคำสอนของพ่อพ่อที่เคยบอกลูก ๆ เสมอว่าบุญเก่าเราน้อยต้องทำบุญใหม่เพิ่ม พยายามไปใส่บาตรถวายจังหันที่วัดป่าบ้านตาดทุกวันเสาร์ - อาทิตย์ ฟังเทศน์พระหลวงตาเสร็จก็กลับ
ต่อมาจึงขออนุญาตพระในวัดมาจำศีลภาวนา ได้พบกับหญิงชราท่านหนึ่งเห็นท่านครั้งแรก รู้สึกอบอุ่น เหมือนได้อยู่ใกล้พ่อ - แม่และครูบาอาจารย์
ที่เป็นผู้หญิง สามสิ่งนี้ค้นหามานานมาวัดป่าบ้านตาดแต่เด็กไม่เคยรู้
เลยว่ามีท่านจึงกราบขอเมตตาให้ท่านสั่งสอน
รู้สึกว่าชีวิตนี้ไม่โดดเดี่ยว ยึดท่านเป็นที่พึ่งทางใจ ตลอดมา…ข้อธรรมที่ท่านเมตตากับทุก ๆ ดวงจิตที่พอจำได้
“สุขใดไหนจะเท่าพระนิพพาน ธรรมเป็นเครื่องชะล้างทุกข์
พระธรรมไม่เคยลวงโลก ทุกข์โศกพ้นได้ที่จิต
ผู้ใดหมั่นพิจารณาจิต ผู้นั้นจะพบ ธรรมแท้ สุขแท้”
ทำไมต้องเป็นบ้า?...หลีกทางบ้า
ฉันมีสมบัติที่ทุกคนไม่ปรารถนา ไม่มีใครคิดแย่งหรือชกชิง
แม้แต่ตัวเอง ก็แทบบ้า เพราะหาทางทิ้งสมบัติไม่ได้ ฉันอยากออกวิ่ง อยากฉีกเสื้อผ้าออกให้หมด อยากกรีดร้อง เพราะสมบัติที่ฉันรับไว้ แบกอยู่ มันหนักเกินกำลัง ต้องต่อสู้กับสิ่งที่เกิดขึ้นในใจ ฉันกอดเสาไว้แน่น ร้องไห้จนตัวสั่น ต่อสู้กับความรู้สึก กับความต้องการในใจ ใช้เวลาหลายชั่วโมง
ในแต่ละครั้งที่มันสั่งการให้ฉันทำตาม
ได้แต่เตือนตัวเอง ทั้งร้องไห้…อย่าไป…อย่าออกวิ่ง…อย่าฉีกเสื้อผ้า ถึงจะรำคาญร้อนเผาลน…เดี๋ยวคนเขาจะว่าเราเป็นคนบ้า อย่าทำ ๆ ฉันกอดต้นเสาแน่น ปากระล่ำ ระลักบอกเตือนตัวเอง ฉันเหนื่อย แทบขาดใจ ทุก ๆ ครั้ง ที่ฉันเจอ และต่อสู้กับศัตรูในตัวเอง มันน่ากลัว มันมีพลังมหาศาล เป็นอสรพิษร้ายที่ชกกัด ฝังเขี้ยวพร้อมปล่อยพิษ ทำร้ายฉันทุกเมื่อที่มันต้องการ อสรพิษร้าย
อยู่ในใจฉัน มันคือความทุกข์ที่ฉันไม่มีอำนาจหรืออาวุธชนิดใด ๆ จะจัดการมันได้ ทุก ๆ คนอยู่ใต้อำนาจของมันแต่มีสิ่งหนึ่งที่ฉันประหลาดใจ เมื่ออสรพิษกำลังทำร้ายฉันทุกรูปแบบ สุดแต่กำลังของมัน ไม่เคยมีคำว่าปรานี บางครั้งเห็นใจของตัวเองหยุดดิ้นตามแรงเหวียงมัน สภาพเหมือนคัทเอาท์ไฟถูกสับลงทุกอย่างหยุดเหมือนชะงัก เครื่องดับไม่ทำงาน แต่มันเป็นการดับที่มีพลัง เหนือพละกำลังของศัตรู ฉันจึงอาศัยจุดดับนี้ประคองตัวเองมาจนปัจจุบัน ผ่านวิกฤตที่จะถูกทุก ๆ คนตราหน้าว่า คนบ้า…อีผีบ้า เพราะฉันพบจุดดับ ในจุดเกิด เกิดอยู่ที่ไหนต้องดับจุดนั้น เหตุที่ใจฉันเอง มืดในใจฉันเอง
ทุกข์ในใจฉันเอง หยุดในใจฉันเอง.ไม่ใช่ฉันเก่ง แต่ขณะนั้น เหมือนทุกข์เกิดถึงที่สุดแล้ว ทุกข์นั้นก็ดับลง ให้เห็นในขณะนั้น ฉันยืนตะลึง ! กับสภาวะที่เกิดขึ้น ไม่มีกาย ไม่มีลมหายใจ มีแต่รู้ เป็นความรู้ที่อยู่ ท่ามกลางความว่าง...
ขอกราบเท้าพระหลวงตามหาบัว, คุณแม่จันดี ที่ท่านทั้งสอง
ได้วางธรรมไว้ในจุดหนึ่งของหัวใจ
เสียง...ที่ช่วยชีวิต…ก่อนฆ่าตัวตาย
บนถนนเส้นนี้ ไม่ว่าสัตว์ หรือมนุษย์จำต้องเดิน ๆ ๆ ไป ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ชอบ – ไม่ชอบ, อยาก – ไม่อยาก ทุกข์ทรมานที่สุด ฉันขอเรียก ความทุกข์ทนนี้ว่า ความมืด ขอให้คำนิยามจำกัดความ เมื่อฉันเจอทางออก เรียกว่า ความสว่างเส้นขีดของเท้าที่ก้าวเดิน คือ จุดจบของทุกชีวิต มฤตยู คือความตาย จึงเป็นจุดหมายของทุกคน – สัตว์ ไม่มีใครโหยหาต้องการสิ่งนี้ แต่หาหลีกพ้นไม่ ในช่วงหนึ่งของชีวิตฉันกลับอาจหาญที่จะจบชีวิตของตัวเองด้วยวิธีการต่าง ๆ เหตุเพราะทุกข์ในใจ หลายคนฆ่าตัวตาย เพราะกายเป็นเหตุจากความเจ็บป่วย แต่เมื่อทุกข์เกิดกับตัวเอง ฉันจึงได้รู้ว่าใจต่างหากที่เป็นผู้บงการ สั่งให้ฉันฆ่าตัวตาย เมื่อตัวการใหญ่ที่มีอำนาจสูงสุดบังคับฉัน ตอนนั้นฉันเหมือนทาสต้องทำตามทันที เพราะทุกข์คิดหาทางออกไม่มี ทุกข์จนอยากหนีทุกข์ ทุกข์ข้างหน้าค่อยว่ากัน ขอดับทุกข์ต่อหน้านี้เท่านั้น ก่อนจะถึงเวลาที่ฉันคิด และวางแผนไว้ จะมีไหมบุคคลที่สามารถช่วยดับทุกข์ให้ผู้คนได้ ฉันจึงตามหาบุคคลผู้นั้น ทั้ง ๆ ที่ใจฉันตอนนั้น ไม่เชื่อว่าจะมีใครดับทุกข์ในใจ และแก้ปัญหาให้ฉันได้…
ฉันได้พบบุคคลที่จะช่วยดับทุกข์ในเช้าวันต่อมา ฉันพบและนั่งอยู่ต่อหน้าท่านแล้ว ท่านคือพระหลวงตามหาบัว ความทุกข์ยังเผาไหม้ใจฉันดั่งเพลิง ยิ่งกว่าไฟเพลิงดวงอาทิตย์ ฉันกระสับกระส่ายทุกข์ทรมาน จนอยากหนีไปให้พ้น ๆ ทุกข์ที่ทำร้ายฉันอยู่ในขณะนี้ ทันใดนั้น ! เสียงบุคคลที่ฉันหวังจะไปให้ช่วยก็ดังขึ้น “อย่าคิดฆ่าตัวตาย เพราะความตายไม่ใช่การแก้ปัญหา ไม่ใช่ทางช่วยให้ทุกข์หายไป ถ้าเรามีชีวิตอยู่เรายังมีโอกาส แต่ถ้าเราตายเราจะหมดโอกาส ทุก ๆ อย่าง และเจอทุกข์ –มหันต์ทุกข์ ยิ่งกว่าที่เจออยู่นี้หลายเท่า ๆ ๆ นัก ให้อดทน ทุกปัญหาย่อมหาทางออกแก้ไขได้ ถ้าเรายังไม่ตาย…” คำพูดเพียงไม่กี่ประโยคของท่านน้ำตาฉันร่วงพรู ฉันไม่ได้บอกท่าน ไม่ได้พูดบอกอะไรท่านสักคำ แต่ท่านสามารถรู้ถึงแผนที่ฉันวางไว้ในใจฉันได้อย่างไร ท่านจึงเป็นเสมือนจุดสว่างในใจที่มืด
ด้วยความทุกข์ที่เผาลน จนสุดจะทานทน…
หม้อใหม่ ! มหัศจรรย์
ในช่วงปี พ.ศ.2523 - 2525 กลุ่มเราได้มีโอกาสไปวัดป่าบ้านตาดพร้อมคุณป้ามาย พี่สาวคุณพ่อทนันชัย (ศรีไทยใหม่) ในช่วงเข้าพรรษาทุกเช้าวันเสาร์ - อาทิตย์ ซึ่งคุณป้าจะพยายามไปใส่บาตรตลอด อาหารของท่านจะทำอย่างประณีต มีรสดี
ต่อมา กลุ่มเราได้เข้าไปช่วยทำครัวที่วัดกับคุณพรสวรรค์ มีช่วงหนึ่งคุณพรสวรรค์ไม่อยู่ไปธุระ พวกเราซึ่งทำอาหารไม่เป็น ก็รอดตัวได้เพราะได้สูตรอาหารจากคุณป้ามาย
คุณแม่ของคุณหมอปัญญา อยู่ประเสริฐ ท่านจะนำมะพร้าวที่สวนมาให้ที่วัดประจำ พร้อมกับจะคอยถามถึงเครื่องทำครัว เครื่องใช้ต่าง ๆ ขาดไหม ช่วงหลังคุณแม่ไปวัดไม่ได้ ได้แต่บ่นถึงน้ำพริกสูตรคุณยาย(มารดาพระหลวงตา) ที่ทำถวายพระทุก ๆ วัน ห่อด้วยใบตองแห้ง รสชาติไม่เหมือนใคร จนต้องถามถึงสูตร...มีคุณหนุ่ยลูกสาวท่านจะคอยประสานงานตามประสงค์ของคุณแม่ เช่น ซื้อหม้อหุงข้าวแก๊ส (หม้อแรกของวัดป่าบ้านตาด) วันแรกที่หุงข้าว ผู้ใช้ก็ยังไม่รู้วิธีดีเท่าไหร่ ก็เริ่มใช้หุงข้าวทันที หุงเสร็จก็ทำกับข้าวอย่างอื่นต่อ
ในรุ่งเช้าวันนั้น พระหลวงตาได้เดินเข้ามาในครัว แล้วถามขึ้นว่า “มีอะไรไหม้ไหม กลิ่นเหม็นไปถึงกุฏิเรา” คนในครัวดูแล้ว ตอบว่า “ไม่มีอะไรไหม้ ข้าน้อย” ท่านบอก “ให้ดูดี ๆ ต้องมีเพราะเราได้กลิ่นถึงกุฏิเรา” ลืมไปว่ามีของใหม่เลยไม่ได้ดู พอนึกได้จึงรีบวิ่งไปเปิดดูหม้อหุงข้าวใหม่ ข้าวไหม้ที่ก้นหม้อจนดำ จึงกราบเรียนท่านด้วยความกลัวเสียงสั่นว่า “เป็นหม้อหุงข้าวใหม่ที่พึ่งได้มา” พระหลวงตาจึงพูดขึ้นว่า “หม้อใหม่ มันก็เป็นยังงั้นแหละ มันแสดงความอัศจรรย์ ถ้างั้นก็ไม่ขลัง สมกับเป็นของใหม่” พูดจบท่านหัวเราะ เสียงหัวเราะของท่าน...ทำให้ความกลัว กังวลของทุกคนในครัวตอนนั้นหายไปเป็นปลิดทิ้ง
มาวัดป่าบ้านตาดครั้งแรก
เมื่อปี พ.ศ. 2526 ช่วงงานกฐินได้มีโอกาสเข้าไปช่วยงานเตรียมทำกับข้าวรับกฐินในวันรุ่งขึ้น โดยมีคุณพรสวรรค์พาไปกราบขออนุญาตองค์พระหลวงตา
จากนั้นมีโอกาสเข้าไปพักภาวนา คุณพรสวรรค์จัดให้อยู่กุฏิหลังเล็กข้างครัวเก่าใกล้สระน้ำ สมัยก่อนฝ่ายผู้หญิง ตอนนั้นจะมีเพียงคุณยายชีน้อม และคุณแม่จันดี อยู่เพียง 2 ท่าน บรรยากาศของวัดจึงเงียบวังเวงมาก มีแต่ป่ากุฏิก็ยังไม่ค่อยมีเยอะ มีคณะชาวบ้านที่มาช่วยทำครัว เตรียมอาหารเสร็จประมาณ 6 โมงเย็นจะกลับบ้าน...จะมาอีกก็เวลาตี 5 รุ่งขึ้นจึงกลับมาทำอาหารถวายพระตอนเช้า
ในครัวสมัยก่อน ถ้ามีคนส่งนมกล่อง-นมกระป๋อง หรือนมชนิดต่าง ๆ มาทำบุญ ท่านจะบอกให้จัดถวายเฉพาะพระป่วย หรือพระแก่ ส่วนพระหนุ่ม ท่านจะสั่งถ้ามีนมมาให้ชาวบ้านที่ไปช่วยในงานวัด คนแก่คนใช้แรงงานแบ่งกันไปกิน ส่วนพระท่านบอกว่าโตแล้วจะมากินนมทำไม ไม่ใช่เด็ก (ท่านมีอุบายพูดแท้จริงท่านห่วงพระท่านในการปฏิบัติภาวนา)
เวลาท่านจะไปธุระที่ไหนหลาย ๆ วัน ท่านจะเดินเข้ามาที่ครัว บอกคุณพระสวรรค์ว่า “เราไม่อยู่ เราเป็นห่วงพระเราเรื่องอาหาร ให้ดูแลอย่าให้ขาด ให้ทำให้เพียงพอ(เพราะเวลาท่านไม่อยู่ญาติโยมไม่ค่อยมาจังหัน(ถวายอาหาร)
และที่ได้ยินอีกคนที่ท่านสั่งเสียทุกครั้ง คือคุณแม่จันดีน้องสาวท่าน ท่านบอก “จันดีกูจะไปธุระ กูห่วงพระกูมากมึงเข้าใจไหม มึงช่วยกูรักษาพระนะ” (ท่านหมายถึงผู้หญิงที่มาเกี่ยวข้องกับพระ ให้คุณแม่จันดีช่วยดู ท่านเป็นห่วงลูกพระท่านมาก) คุณแม่อธิบาย “ผู้หญิง คือศัตรูที่พระพุทธเจ้าให้พระลูกศิษย์ของท่านระมัดระวัง เพราะเป็นอันตรายต่อเพศพรมจรรย์ และต่อมรรคผลที่สุด
ที่ศาลาวัดป่าบ้านตาด พระหลวงตา ในช่วงนั้นยังแข็งแรงท่านจะรับประเคนอาหารที่ผู้คนนำมาถวายด้วยตัวเองฉันเสร็จท่านจะเทศน์บ้าง ตามผู้คนญาติโยมเกี่ยวข้อง เพราะตอนนั้นถ้าไม่ใช่วันพระหรือ เสาร์ - อาทิตย์ คนจะน้อย จะมีอาหารที่ครัววัดเป็นหลัก โดยคุณพรสวรรค์ และมีครัวแม่เที่ยง คุณพ่อศรีไทยใหม่ และญาติพี่น้องลูกศิษย์ที่ส่งอาหารมาประจำ เช่นคุณหมอเพ็ญศรี มกรานนท์, คุณพ่อเสี่ยกิมก่าย, คุณแม่อ้วนสหสันต์ คุณแม่จีนอุดร, คุณหมอผู้ชายอยู่ร้อยเอ็ด (จะขนอาหารสด-แห้งมาทุก ๆ เย็นวันศุกร์และอยู่ภาวนาต่อ) และมีลูกศิษย์ท่านครูบาอาจารย์ วัดต่าง ๆ เช่น วัดป่าแก้ว, วัดหนองกอง และอีกหลาย ๆ วัด รวมทั้งคณะศรัทธาที่ไม่สามารถเอ่ยในที่นี้ได้หมด พอเห็ดออกท่านจะรีบเอามาถวายวัดพ่อแม่ครูอาจารย์
จึงได้แต่ กราบขออนุโมทนา กับคณะศรัทธาทุก ๆ ท่านและชาวบ้านตาดทุก ๆ คนที่ได้ดูแลพ่อแม่ครูอาจารย์ไว้ให้พวกเราได้อาศัยท่านเป็นที่พึ่งในปัจจุบัน
ได้ชีวิตใหม่
ความทุกข์จากพิษเศรษฐกิจ เมื่อปี พ.ศ. 2527 เป็นเหตุให้เกิดคำถามในใจว่า “มีสมบัติอะไร ที่ใครแย่งเราไปไม่ได้...มีไหม” ทำไมสมบัติทุก ๆ อย่างที่เรามีอยู่ หามาเก็บหอมรอมริบสร้างตัวมา จึงได้อันตรธานไปหมดพร้อม ๆ กัน กับคำว่า “ลดค่าของเงินบาท”
ความล้มเหลวทางจิตใจ สมบัติทรัพย์สินหมดสิ้นไป ยิ่งกว่าตายทั้งเป็น อยู่ในกองไฟดี ๆ นี้เอง มองไปรอบ ๆ กายเหมือนมีแต่เปลวไฟแผดเผาทำให้คิดว่า “เราจะอยู่ หรือจะตายดี ตายดีกว่า” เกิดคำถามคิดซ้ำ ๆ นี้อยู่ตลอดเวลา
จนกระทั่งมีเพื่อนคนหนึ่งเล่าว่า “เขาได้อ่านหนังสือธรรมะท่านที่เขียนหนังสือเล่มนี้ เป็นพระอยู่วัดป่าบ้านตาด ในหนังสือพูดถึง สมบัติ ที่โจร แก๊งโจรกรรม นักฉกชิงวิ่งราว ก็แย่งเอาไปจากเราไม่ได้ มีอยู่นะสมบัติที่เพื่อนอยากได้ ว่างเมื่อไหร่ เราไปวัดป่าบ้านตาดด้วยกัน ไปฟังจากปากท่าน”
กว่าจะตั้งหลักชีวิตได้ อาศัยฟังธรรมท่านอยู่นาน ชีวิตที่หมดสิ้นทุกอย่าง ใครไม่เจอ คงไม่รู้ เป็นความทรมานอย่างที่สุด หมดสิ้นยังไม่พอ แบกหนี้ไว้อีกมากมาย นรกอยู่ในใจ รู้แล้วว่าเป็นยังไง มีทางเดียวจะดับทุกข์ได้ คือตาย ไม่ต้องรับรู้ทุกข์ ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรอีก นี่คือใจในช่วงนั้น ต้องพยายามนึกถึงคำสอนขององค์ท่านให้คิด และจะพยายามคิดพุทโธแทน ได้บ้างไม่ได้บ้างก็พยายามปฏิบัติ ทำตามคำสอนขององค์ท่านทุกอย่าง...วันนี้ก็ได้คำตอบแล้วว่า สมบัติที่ใครแย่งเราไปไม่ได้ ก็คือทรัพย์ภายใน ธรรมภายในใจนี่เอง
“ตายในภาวนา” พระหลวงตาจะเผาศพให้
ประมาณเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2527 คุณพรสวรรค์ได้ช่วยขออนุญาตพระหลวงตาให้ได้มาพักภาวนา ได้เจอคุณแม่ทองมา(ร้านมิตรมงคลปัจจุบัน) พักกุฎิใกล้ ๆ กัน ได้ยินเสียงสวดมนต์ จึงไปขอสวดมนต์ทำวัตรด้วยเพราะทำไม่เป็น ท่านบอก “ทำวัตรสวดมนต์ต่างคนต่างทำเอาเอง จะได้ไม่กังวล เสร็จแล้วต่างคนก็ภาวนา”
เมื่อเข้าใจแล้ว จึงเดินกลับมาที่กุฏิตัวเอง กราบพระสวดมนต์ทำวัตรเย็น นั่งขัดสมาธิ นั่งอยู่ประมาณ 1 ชั่วโมง เริ่มปวดเข่า และปวดตามข้อเท้า ข้อนิ้วเท้า พยายามอดทน แต่ทนเจ็บปวดไม่ได้จึงหยุด ตอนเช้าก่อนกลับบ้านไปฟังเทศน์พระหลวงตาที่ศาลา
ท่านถาม “คนที่มาปฏิบัติภาวนาเขาจะลากลับชื่อคุณดำ ทำงานอยู่การไฟฟ้า ท่านถามว่า “ภาวนาเป็นยังไง จิตสงบไหม ถ้าจบสงบแล้วสบาย” ท่านพูดเหมือนรำพึง ทำให้ทุกคนที่นั่งอยู่ อยากพบความสบายที่ท่านพูดถึง เสียงท่านทอดยาวแผ่วเบาสัมผัสได้ถึงความเบาสบายที่ท่านกล่าวถึง ท่าทางคำพูดของท่านยังก้องอยู่ในใจทั้งวัน ในวันนั้นทั้งวัน ขณะทำงานไปด้วยจึงตั้งใจพุทโธอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งตอนเย็นมาขอภาวนาต่อที่วัดป่าบ้านตาดอีก และได้พบคุณแม่จันดี ท่านช่วยแนะวิธีสู้ทุกขเวทนาว่า “ให้อดทนเหมือนเราจะเดินทางจากหมู่บ้านนี้ไปอีกหมู่บ้านหนึ่งข้างหน้า ในการสู้ทุกข์ของเราก็ให้คืบหน้าในทุก ๆ ครั้งที่นั่งสมาธิให้อดทน ให้ฝืน ให้ได้เพิ่มขึ้น วันนี้ได้คืบ พรุ่งนี้ได้ศอก วันต่อไปได้วา ต้องมีวันถึงจุดหมาย” ปฏิบัติทำตามท่านทุกอย่างที่สอน
ตอนเช้าก่อนกลับบ้านขึ้นไปฟังเทศน์บนศาลา พระหลวงตาเทศน์เรื่อง ถ้านักภาวนาคนไหนตาย ขณะภาวนาท่านจะจัดงานศพให้อย่างสมเกียรติ ท่านพูดน้ำเสียงจริงจัง ท่าทางจริงจัง ขึงขัง ทำให้มีกำลังใจ วันนั้นมีกำลังใจมาก พุทโธต่อเนื่อง ไม่ได้บังคับยาก เวลาพูดคุยกับเพื่อนร่วมงาน เห็นในใจก็ยังระลึกพุทโธ รู้สึกแปลกเพราะไม่เคยเป็นมาก่อน
ตอนเย็นเลิกงาน รีบมาที่วัดป่าบ้านบ้านตาดอีก ขอพักภาวนา คุณแม่จันดีท่านมีอุบายเด็ด วันนั้นท่านบอก “ถ้าสู้ทุกข์ไม่ผ่าน ไม่ต้องเข้ามาในวัดอีก ห้ามผ่านกำแพงวัดเข้ามาในวัดเด็ดขาด คนไม่อดทน คนอ่อนแอ ไม่ต้องมาให้ท่านเห็นหน้าอีก คนเหลาะแหละ ไม่อยากพบ จะไม่สอน” รู้สึกตกใจมาก รู้จักท่านไม่นานทำไม ท่านพูดกับเราแบบไม่ถนอมน้ำใจเลย
เดินหงอยกลับมาที่กุฏิ กราบพระเสร็จ นั่งขัดสมาธิ คิดว่าคงเป็นคืนสุดท้ายสำหรับเรา กับวัดป่าบ้านตาด นั่งประมาณ 30 นาที ความทุกข์ทั้งหลายโผล่มา เหมือนกองเพลิง ปวดไปหมดตามกระดูกข้อเล็ก ข้อใหญ่ พุทโธ ไม่ต้องพูดถึง ระลึกไม่ได้ ได้แต่บอกตัวเองว่า “พระหลวงตาจะจัดงานศพให้ถ้าตายในภาวนา สอนยังไงมันก็ไม่ยอม จิตวิ่งหาที่อยู่ในร่างกายสักจุด ที่ไม่ทุกข์แต่ไม่มีเลย ร้องตะโกนในใจ พระหลวงตาช่วยด้วย ๆ ไม่ไหวแล้ว เห็นจิตตัวเองเหมือนหนูน้อยตัวหนึ่งที่ถูกไฟครอกอยู่ในบ้านที่เคยอาศัย ไม่รู้จะไปไหนวิ่งหาสักที่ ที่พออยู่ได้ สุดท้ายทนไม่ไหว ขณะนั้น! คิดจะดีดขาออกจากกันมีเสียงดังขึ้นในจิตว่า “ขาวัวขาควายที่เขาแขวนในตลาดไม่เห็นว่ามันร้องว่าเจ็บว่าปวด” ขณะนั้นจิตจ่อฟังธรรมยอมรับธรรมที่บอกขึ้นมา พร้อมกับจิตบอกขึ้นว่า “ขอถวายชีวิตเลือดเนื้อ บูชาธรรม” พอเสียงจบลง
จิตวางพึ่บ ความเจ็บปวดไม่มี มีเสียงดังขึ้นในจิตว่า “จิตก็สักแต่ว่าจิต กายก็สักแต่ว่ากาย เวทนาก็สักแต่ว่าเวทนา ต่างอันต่างจริง ต่างอันต่างอยู่” เห็นขาตัวเองฟาดขึ้นลงอย่างแรง กายเหมือนท่อนไม้ท่อนฟืน เวทนาก็แสดงตัวตามเรื่อง จิตก็ส่วนจิต...
ตอนเช้าไปกราบเรียนคุณแม่จันดี “ตั้งแต่เกิดมา ไม่เคยเห็น ไม่รู้ว่า 3 สิ่งนี้เขาแยกกันได้” ท่านบอก “แต่นี้ต่อไปทุกครั้งที่นั่งให้ผ่านทุกขเวทนาให้ได้ทุกครั้งนะ มันไม่ตายหรอก หนทางเคยเดินแล้ว รู้แล้วอย่ากลัวตาย”
ลูกศิษย์ส่งจิตออกนอก
ท่านสอนภาวนาไม่ให้ส่งจิตออกนอก ให้ตั้งสติจ่อที่จิต ส่งความรู้เข้ามาข้างใน ไม่ให้ส่งออกไปข้างนอก ลูกศิษย์ดื้อ ไม่ฟัง ส่งจิตออกนอกกว่าจะรู้ตัว นั่งอยู่บนหลังพญานาคแล้ว พญานาคพาแหวกชั้นดิน ผ่านชั้นหิน ทะลุชั้นน้ำ พุ่งลงเร็วมาก เสียงลมหวีดหวิว น่ากลัวมาก พุ่งลงไปลึกมาก จนถึงเมืองบาดาล เป็นเมืองของพญานาค มีเสียงดังขึ้น “จะพาท่องชมเมืองบาดาล” เป็นเมืองของพญานาค อยู่กันตามผลาญหินเป็นครอบครัว โดยมีกษัตริย์ คือพญานาคราชปกครองเมือง พญานาคราชจะอยู่แท่นหินสูงขนด(ขด)ตัวยกหัวชูสูงตามลำตัวมีปลอกทองประดับตามลำตัวเป็นระยะ ลำตัวมีเกล็ดเป็นสีเขียว พญานาคที่พาไป พาเหาะลอยวนรอบเมืองบาดาล 3 รอบ จึงพากลับขึ้นมาส่งเมืองมนุษย์
ลูกศิษย์คนนั้นเกือบช็อกตาย เพราะกลัวมาก ตัวสั่นเทา และเหนื่อยหอบ ได้รับบทเรียนที่ต้องจดจำไปจนวันตาย ฐานอวดดีไม่เชื่อครูบาอาจารย์ สำคัญมากในการปฏิบัติภาวนาไม่มีครูบาอาจารย์คอยแนะสอนอย่างใกล้ชิดไม่ได้เลย
ครูผู้ให้...พระหลวงตามหาบัว
เมื่อปี พ.ศ. 2528 ผู้หญิงเริ่มมาปฏิบัติมากขึ้น พระหลวงตาท่านเป็นห่วงลูกพระ ท่านจึงไม่ให้พระเข้ามาในเขตผู้หญิง นอกจากหลวงพ่อปัญญา แต่ถ้ามีกิจจำเป็นจริง ๆ พระต้องมาพร้อมกันหลายองค์
ภาพที่พระหลวงตา ถือไม้กวาดตาด เดินเข้ามาเขตปฏิบัติฝ่ายผู้หญิง เพื่อดูแลความสะอาดเรียบร้อย กุฏิที่แขกมาพักปฏิบัติ เรามองตามไปเห็นท่านเดินไปที่กุฏิ 23 ลุกเดินย่องตามไปยืนบังพุ่มต้นข้าวสารที่หนาแน่นมากในสมัยก่อนเห็นภาพ พระหลวงตาก้มลงเก็บเศษไม้ข้างเตาถ่าน กองรวมกันไว้เป็นระเบียบ เขี่ยขี้เถ้า ออกจากเตาถ่าน ยกเก็บไว้ให้เข้าที่ เอาไม้กวาดมากวาดพื้นใต้ถุนกุฏิ แล้วเปิดเข้าไปในห้องน้ำ ทำความสะอาด ออกมาจับไม้ตาดปัด
หยากใย่ แล้วกวาดตาดรอบ ๆ กุฏิทุกอย่างท่านทำอย่างรวดเร็ว คล่องแคล่ว ทำอย่างต่อเนื่อง ไม่มีท่าทางรังเกียจ สิ่งสกปรกที่ผู้มาพักทิ้งไว้ หลายคนคงคิดไม่ถึงว่าสิ่งที่ตัวเองทำทิ้งไว้ อาจจะด้วยความรีบกลับกลัวไม่ทันรถ หรือเวลาบีบบังคับตามความจำเป็นนั้น ผู้ที่มาเก็บทำความสะอาดคือ องค์พระหลวงตา ขณะยืนดู ทั้งตกใจ ทั้งซาบซึ้งใจ ในความเมตตา ท่านเป็นครูให้ศิษย์ในทุก ๆ อย่าง ในทุก ๆ เรื่อง ทำได้หมด หนังยางเส้นหนึ่งตกอยู่ที่พื้น ท่านก้มลงเก็บ เป็นครูสอนทุกกิริยาอาการ
ภาพที่เห็นทำให้เราน้ำตาคลอ นี่หรือคือพระหลวงตา เจ้าอาวาสวัดป่าบ้านตาด นี่หรือคือท่าน รักสงวนลูกพระ ผู้จะสืบทอดพระศาสนา ยอมทำทุกอย่าง ขอเพียงให้ผู้ปฏิบัติพ้นภัย ไม่ว่าจะเป็นพระ หรือฝ่ายหญิง ทำให้คิดไปไกลถึงเวลาไม่มีท่าน เราจะหาครูผู้สอนเราทุก ๆ กิริยาอาการที่เหมือนองค์ท่านได้ที่ไหน
เก็บภาพทุกอย่างมาเล่าให้คุณแม่จันดีฟัง หลังจากพระหลวงตากลับออกไปจากเขตผู้หญิงแล้ว เพราะพระหลวงตาเข้ามานั้น คุณแม่ท่านทำครัวอยู่ข้างสระ ท่านถามกลับ “พวกเจ้ามีความคิดมีความคิดยังไง พระหลวงตาทั้งแก่ เป็นพ่อแม่ครูบาอาจารย์” ท่านพูดพร้อมพนมมือเหนือหัว “ต้องทำทุกอย่างเพื่อรักษาพระ แต่ก่อนก็เป็นพระลูกศิษย์ทำ แต่ตอนนี้กลายเป็นพ่อแม่ครูบาอาจารย์ต้องมาทำแทน ท่านเห็นคุณของธรรม เห็นโทษของกิเลส ยอมทุกอย่างเพื่อรักษาทุก ๆ คนให้รู้ธรรม เห็นธรรม ได้ธรรมเหมือนท่าน”
คุณแม่ถาม “คิดอยากช่วยพระหลวงตาไหม ดูใจตัวเองแล้วรู้สึกว่ามีความสุขไหม ที่เห็นพระหลวงตาทำยังงั้น” ตอบท่านไปกับพี่อีกคนที่นั่งอยู่ด้วยกันว่า “ไม่อยากให้ท่านทำ ไม่อยากเห็น และไม่อยากให้ใครเห็น” คุณแม่ท่านอธิบายว่า “พระหลวงตาท่านทำอะไร จะแอบทำ ไม่ให้ใครเห็นง่าย ๆ หรอก ท่านไม่ได้เซ่อซ่า เหมือนพวกเจ้า เอาหละถ้าพวกเจ้าไม่อยากให้ท่านทำ แม่จะแนะให้สังเกตเวลาแขกอยู่กุฏิไหนกลับบ้าน ให้พวกเจ้ารีบไปเก็บกวาดทำความสะอาด ทุก ๆ อย่างให้เรียบร้อย ก่อนที่พระหลวงตาท่านจะเข้ามา ถ้าท่านเห็นสะอาดแล้ว ท่านจะไม่ทำ แต่ถ้าไม่สะอาดท่านก็จะทำเหมือนเดิม ห้องน้ำ หลุมขยะ ต้นหญ้ารอบกุฏิ ถอนด้วยยิ่งดีทำให้ดีที่สุด อย่าตามใจกิเลส ถ้ามันไม่อยากทำให้คิดถึงที่พระหลวงตาท่านพาทำ ธรรมอยู่ที่นั่นหละ ตรงที่เราไม่ชอบนั่นหละ สิ่งที่เราชอบเป็นกิเลสทั้งหมด เพราะใจเรายังไม่เป็นธรรมเหมือนใจท่านผู้สิ้นกิเลส ถ้าอยากสิ้นอย่างท่าน ให้ฝืนกิเลสทำตามที่ท่านสอน พระอย่างพระหลวงตาท่านสอนเราทำด้วยคำพูด สอนทุก ๆ กิริยาอาการเดินไปไหนไม่เคยเดินไปแบบคนมีกิเลส”
ตั้งแต่วันนั้นมา...พวกเราก็พยายามทำทุกอย่างตามคุณแม่จันดี เห็นแขกมาจะรีบเข้าไปทักทาย และถามแขกว่าได้อยู่พักภาวนากี่วันเที่ยวนี้ เพราะจะได้ทราบเวลาเขากลับแน่นอน จะได้รีบไปทำหน้าที่นั้นก่อนที่พระหลวงตาจะมาทำความสะอาด
องค์พระหลวงตา ครูผู้สอน ผู้ให้ ยอมทุกข์ ยอมทน ทุกอย่าง เพื่อกุลบุตร เพื่อยังศาสนา ภาพตรึงตาตรึงใจจึงขอฝากไว้ในใจของศิษย์ทุก ๆ ๆ คน
หัวใจที่มีแต่ให้ขอเทิด บูชาไว้ บูชาใจตลอดเวลา
อัศจรรย์ ! พระจิตองค์พระหลวงตา
ไปกราบคุณแม่จันดี ที่กุฏิในวัดป่าบ้านตาด บังเอิญได้ยินลูกศิษย์ท่านกำลังกราบเรียน ถึงเรื่องที่เขาเห็นจิตขององค์พระหลวงตา
เมื่อปี พ.ศ. 2535 ประมาณเดือนธันวาคม พระหลวงตาท่านจะเมตตามาเทศน์โปรดฝ่ายผู้หญิงทุกวัน เวลาประมาณบ่าย 3 โมงครึ่ง – 6 โมงเย็น ขณะ เขานั่งฟังเทศน์ท่าน...หูฟังเสียง สติดูใจ ระลึกพุทโธ ๆ ๆ ไปเรื่อย ๆ ๆ มองไปที่องค์พระหลวงตาไม่เห็นกายท่าน มีแต่พระจันทร์วันเพ็ญ ดวงใหญ่ สว่างจ้า ๆ ลอยอยู่ข้างเสาศาลาที่ท่านนั่งอยู่ไม่เห็นกายท่าน มีแต่พระจันทร์วันเพ็ญ ดวงใหญ่สว่างจ้า ๆ ลอยอยู่ข้างเสาที่ท่านนั่งเทศน์ แสงสว่างจ้าสาดส่องไปสว่างยิ่งกว่าเวลากลางวัน เป็นความสว่างที่ทะลุทะลวงไปได้หมด ความสว่างที่ไม่มีอะไรปิดกั้นได้ ทั้งน่าอัศจรรย์ และน่ากลัว
คุณแม่จันดีเตือนเธอผู้นั้นให้เรียกว่า “พระจิตที่บริสุทธิ์ขององค์พระหลวงตา และอย่าพูดว่าน่ากลัวให้คิดใหม่ พูดใหม่ว่า “น่าเคารพ - กราบไหว้ ยังงั้นแหละ กิเลสมันกลัวธรรม เห็นพระจิตที่บริสุทธิ์ของท่านผู้สิ้นกิเลส ไม่ใช่จะเห็นง่าย ๆ เห็นแล้วกิเลสมันยังดึงให้กลัว นี่แหละเรื่องของกิเลสให้พิจารณาเอายังจะยอมตัวต่อมันให้มันพาเกิดพาตายอยู่อีกหรือ”
กลัว ! สุดขีด
ผู้เขียนเจอหญิงสูงอายุผู้หนึ่งในวัด ถามเธอ “มีประสบการณ์ที่เกิดขึ้น กับตัวเองบ้างไหมช่วยเล่าให้ฟังหน่อย” เธอวางมือจากงานที่ทำ เดินมานั่งลงเหลือที่ไว้ให้นั่งข้าง ๆ เธอ
เธอเล่าว่า เมื่อปี พ.ศ. 2536 ประมาณเดือนมกราคม “เป็นคนดื้อ ไม่ค่อยฟังคุณแม่จันดีผู้เป็นอาจารย์ ไม่ว่าจะบอกจะสอนอะไร ก่อนจะทำตามท่านได้แสนลำบากไม่ยอมทำตามง่าย ๆ ยังไงก่อนจะทำตาม ก็ขอฝืนตามกิเลสตัวเองก่อน ไปไม่ได้จริง ๆ จึงกลับมายอมเชื่อฟังท่าน จนท่านหนักใจ ท่านถึงกับคิดคำนึงถึงองค์พระหลวงตา อยากให้มาช่วยสอนดัดสันดานกิเลสตัวดื้อ”
วันนั้นพระหลวงตาเดินเข้ามาฝ่ายผู้หญิง เวลาประมาณ 4 โมงเย็น ท่านพูดเสียงดัง เหมือนสั่งให้ทำอะไรสักอย่าง แต่จับใจความไม่ได้ คงได้ยินแต่เสียงท่านพูด กลัวท่านจนฟังไม่รู้เรื่องว่าท่านให้ทำอะไร จำได้ว่าคุณแม่ท่านสอนว่า “ถ้าพระหลวงตาท่านบอกหรือพูดอะไร ฟังไม่เข้าใจให้กราบเรียนถามอีก อย่าไปทำอะไร ตามกิเลสตัวเอง ไม่งั้นเดียวจะไปทำผิดจากที่ท่านบอก ถ้าเราทำผิดแล้วท่านจะสอนแบบฟ้าผ่า จะรับได้ไม” จึงได้กราบเรียนถามองค์พระหลวงตาว่า “พระหลวงตาพูดอะไรข้าน้อยไม่ได้ยิน” ครั้งที่ 1 พระหลวงตาก็พูด...ก็ไม่ได้ยิน กราบเรียนอีก ครั้งที่ 2 “พระหลวงตาพูดอะไรข้าน้อยไม่ได้ยิน” ท่านบอกซ้ำอีกครั้ง ยิ่งหนักเหมือนฟังไม่ทัน...ครั้งที่ 3 ไม่ได้ยินอีก...จนถึงครั้งที่ 4 ก็กราบเรียนอีกว่า “ข้าน้อยไม่ได้ยิน” เสียงฟ้าผ่าเปรี้ยงลงกลางกระหม่อม เสียงท่านดังขึ้นคราวนี้ได้ยินชัดทุกถ้อยคำว่า “หัวใจยังครองร่างอยู่ไหมนี้ สติมีไหม มันเป็นยังไง มีหัวใจไหม มีสติอยู่ไหม” เสียงธรรมของท่านดังกัมปนาท ฟาดลงบนหัวใจ หัวใจเต้นสั่นรัว ตัวสั่นรีบลุกขึ้นวิ่ง ! ไปข้างหน้าอย่างไม่คิดชีวิต เสียงคุณแม่ดังมาช่วยชีวิต “พระหลวงตาให้ไปเก็บใบไม้ที่กองอยู่ไปทิ้งในป่า” คราวนี้รู้แล้ว...ยิ่งวิ่งเร็วกว่าเดิม เพราะรู้แล้วว่าจะไปทำอะไร เสียงพระหลวงตาร้องตามหลังมาเสียงดัง “มันบ้าแล้ว ๆ บอกอย่างหนึ่งมันวิ่งไปทำไม มันบ้าใหญ่แล้ว” วิ่งไปก็ร้องบอกท่านไปว่า “ข้าน้อยจะไปเอาตีนเสือ” คงจะกลัวมากมือเสือที่ใช้กวาดใบไม้ก็เรียกผิด
หลังจากวันนั้น...อุบายดัดกิเลสของท่านได้ผลเกินคาด คนดื้อรั้น กลายเป็นคนเชื่อง ยอมปฏิบัติตามทันทีตามท่านเอ่ยปาก แต่บางครั้งกิเลสหมอบได้ไม่นานได้ช่องก็โผล่มาอีก ท่านต้องช่วยเตือนความจำอีกว่า “ ถ้าไม่ฟังท่านจะให้พระหลวงตาช่วยสอนอีก”
มะละกอตัวเมีย
ช่วงปี พ.ศ. 2536 ฉันไม่ใช่ผู้หญิงคนเดียวที่อยู่ในเขตปฏิบัติฝ่ายผู้หญิงในวัดป่าบ้านตาด คิดว่ามีโอกาสมาทั้งที อยากรู้ อยากเรียนความถูกต้อง ปฏิปทาที่แท้จริง ขององค์พระหลวงตา
ขณะนั้นประมาณบ่าย 3 ครึ่ง กำลังเก็บถ้วยชามกะละมังอยู่ ได้ยินเสียงดังขึ้นด้านหลัง “ไม่มีหู ไม่มีตา อยู่ไปกินไป มีตาก็เหมือนมีตามะขามขี้(ตาบอด) ไม่รู้จักดู ไม่รู้จักทำอะไร” รีบวางงานที่ทำ นั่งลงกราบท่าน มองไปรอบ ๆ ไม่มีใครเลย ท่านพูดให้ใคร ทำไมมีเราเพียงคนเดียว ตกใจ แต่นิ่งพนมมือต่อ
ท่านชี้ไปที่ต้นมะละกอ 2 ต้น ที่ยืนต้นคู่กันอยู่ “ต้นมะละกอตัวผู้ก็ไม่รู้จัก ตัดออกปล่อยให้มันแย่งอาหารต้นตัวเมียทำไม มันไม่มีประโยชน์ ตัดออก ไม่รู้จักดู” ท่านพูดย้ำ
หันมามองหน้า “บอกแล้วยังไม่ไปเอามีดมาตัดอีก ไปซิไป” เสียงท่านดัง ฉันลุกขึ้นได้รีบวิ่งไปหยิบได้มีปังตอวิ่งไปที่ต้นมะละกอ ด้วยความกลัวท่านเพราะท่าทางท่านจริงจัง สีหน้าของท่านขึงขัง ฉันชำเลืองดูแว๊บเดียวต้องรีบหลบสายตาท่าน สายตาที่ท่านมองมาเหมือนสายฟ้าแลบ เสียงท่านร้องดังขึ้นอีก “ยังไม่ตัดอีก ! ตัดสิ” เสียงท่านจบลง ฉันเงื้อมีดในมือขึ้นสุดกำลัง พอจะฟันลงไป ทำไมฉันไม่รู้เลยว่ามะละกอต้นไหนคือต้นตัวเมีย ชั่วนาทีนั้นมีเสียงดังขึ้น “พระหลวงตาเจ้าคะ ขอถวายช็อกโกแลต” ฉันรีบลดมีดในมือลง พิจารณาว่า มะละกอ 2 ต้น ต่างออกดอกทั้งคู่ ต้นหนึ่งดอกเป็นพวง มีกิ่งดอกคงเป็นตัวเมียแน่ ผิดจากอีกต้นมีดอกติดตามลำต้นเพียงไม่กี่ดอก เงื้อมมีดอีกครั้งตั้งใจตัด หันไปมองพระหลวงตา ท่านกำลังยืนอยู่ เริ่มมีคนเห็นท่านหลายคนมากราบท่านเพื่อถวายของบ่าย น้ำปานะที่เตรียมไว้ ทุกคนช่วยชีวิต
คิดได้จึงรีบย่องเข้าไปในป่า ไปกราบเรียนถามคุณแม่จันดีขอให้ท่านช่วยบอกว่า มะละกอตัวเมียเป็นยังไง ตอนนั้นท่านป่วย นอนพักอยู่ที่แค่ในป่า ด้วยความเมตตาสงสารท่านอุตส่าห์ เดินออกมาช่วยดูเพราะกลัวตัดผิดต้น พอมาถึงเจอพระหลวงตา ท่านนั่งลงกราบ แล้วท่านหันมาถาม “ก่อนหน้านี้คิดจะฟันต้นไหน” ชี้ไปที่ต้นดอกติดลำต้นไม่กี่ดอก ท่านอุทาน! “เออถ้าตัดต้นนี้ เจ้าตาย นี้แหละต้นตัวเมียที่ท่านให้เหลือไว้ ถ้าตัดต้องตัดต้นนี้ มะละกอตัวผู้มันจะเป็นกิ่งมีดอกตามกิ่ง ส่วนตัวเมียจะออกดอกติดตามลำต้นของมัน ลูกมะละกอก็จะออก และโตขึ้น ส่วนตัวผู้ดอกจะร่วงไม่มีลูก เอ้า ตัดตัวผู้” แล้วคุณแม่ก็พาถอนหญ้าบริเวณนั้นจนเกลี้ยง พาหาไม้ไผ่มาล้อมต้นมะละกอ และผักสวนครัว มีหลายชนิด ให้ในบริเวณดูสวยงาม เรียบร้อย
ขณะทำก็ถามทักท้วงท่านว่า “พระหลวงตาสั่งให้ตัดแต่ต้นมะละกอเท่านั้น คุณแม่ทำไมต้องทำอะไรต่ออีกเยอะแยะยิ่งป่วยอยู่” แต่ท่านก็ไม่หยุด คงพาทำจนเสร็จ ท่านบอก “จำไว้ ถ้าพระหลวงตาบอกให้ทำอะไร ต้องทำดีให้เกินที่ท่านบอก ท่านให้เรารู้จักคิดต่อ พิจารณาต่อ ไม่ใช่เอาแต่กิเลสออกหน้า ให้มันจูงไป ลากไปเพราะกิเลสมันคือ ตัวขี้เกียจ แม่อยากให้กิเลส อวิชชาหลุดออกจากหัวใจของเจ้า จะได้รู้ว่าความขี้เกียจ คือตัวกิเลส ฆ่ากิเลสให้ตายจากหัวใจแล้ว ความขี้เกียจ หายหน้าไปเลย มีแต่ความขยันเข้ามาแทน”
คำถามที่ดีที่สุด
คุณแม่จันดี ท่านเมตตาผู้หญิงคนหนึ่ง เห็นเดินจงกรมเธอก็ร้องไห้ ไม่ว่านั่งสมาธิ หรือนอนเธอก็ร้องไห้ แต่เธอไม่รู้ว่าเธอน่าสงสารแค่ไหน
ท่านบอกเธอถึงทางออกจากทุกข์ “โลกนี้มันโลกทุกข์ ไม่มีใครในโลกนี้ไม่ทุกข์ สังสารวัฏนี้ล้อมเต็มไปด้วยซากสัตว์ ซากมนุษย์ โลกนี้น่ากลัว ทุกข์เป็นสิ่งที่ควรหลีก แต่เมื่อมีเกิด ก็ต้องเจอ มีทางเดียว คือไม่ต้องเกิดอีกจึงไม่ทุกข์”
เธอถามท่านว่า “ทำยังไง ช่วยบอกทางนี้ให้เธอด้วย” คุณแม่ท่านบอก “ต้องมี ทาน ศีล ภาวนา ยิ่งภาวนานี้แหละทางดับทุกข์ มีอยู่ทางเดียว” เธอถามต่อ “ต้องออกมาอยู่วัดปฏิบัติหรือ” ท่านตอบว่า “ถ้าได้ธรรม ถึงขั้นอยู่บ้านไม่ได้ มันก็จะค่อยเป็นไปเอง” เธอ
สงสัย “อ้าว ถ้าการปฏิบัติ ภาวนาดีจริง ทำไม คุณแม่จึงไม่ให้ลูกมาปฏิบัติภาวนาละ ให้ลูกแต่งงานมีครอบครัวทำไม” ท่านตอบสวนมา “โอ๋ยถามถูก ตามตรง ยิงถูก ยิงตรงเหลือเกิน จริงหมดที่ถามมา นี่จริงทุกอย่าง ไม่มีใครในโลก ไม่มีแม่คนไหน ไม่รักลูกตัวเอง มีอะไรดีที่สุด ก็ต้องคิดถึงลูกก่อนคนอื่น แต่เรื่องของบุพกรรม ของแต่ละคนที่ทำมาไม่เหมือนกัน มันฝืนไม่ได้ แต่ดีแล้วที่ถามแม่ เป็นคำถามที่ดีที่สุด เพราะถ้าเป็นคนอื่นอาจไม่กล้าถาม แต่นี้ถือว่า ดีมาก กล้าถาม คำถามที่หลายคนอาจสงสัย อยากรู้ แต่ไม่กล้า แม่ถือว่าเป็นคำถามที่แม่ก็คิดไม่ถึง เหมือนกันว่าจะถาม แต่เมื่อถามมา แม่ก็ดีใจที่จะได้ตอบ เพราะใครดูก็คงคิดแปลก ๆ อยู่เหมือนกันว่าลูกตัวเอง ทำไมไม่ดึงให้มาภาวนา ทำไมดึงลูกคนอื่น ดีมากที่เจ้าถาม เป็นคำถามที่ดีมาก”
เธอคนถามรู้สึกชื่นใจ ในคำชมของท่าน ไม่มีใครเก่งกว่าเรา...อยู่พักปฏิบัติได้สักพัก ตอนหลังรู้ตัวจึงรู้ว่าตัวโง่แสนโง่ รีบมากราบขอขมาท่าน ท่านหัวเราะตอบว่า “ไม่เป็นไร อยากรู้อะไรก็ถาม ที่เจ้าถามมันก็เป็นความจริงทุกอย่าง แต่ไปอยู่กับคนอื่น ที่ไม่ใช่แม่ จะถามอะไรก็ให้พิจารณาก่อน เดียวไปยิงคำถามคนอื่นเขาไม่ชอบเขาจะพาลโกรธเอา คนถ้าใจไม่มีธรรมมันไม่ยอมรับความจริงง่าย ๆ นะ แต่นี่ดี ถึงจะโง่-ซื่อ ก็ดีกว่าคนฉลาด แต่มีเล่ห์เหลี่ยม คนแบบนั้นน่ากลัว น่ากลัวมาก ทางธรรมถือว่าน่ากลัว ควรหลีก โง่-ซื่อ พอสอนได้ค่อย ๆ ถากไปยากหน่อย ช้าหน่อย ก็จะทนเอา” เธอผู้นั้นน้ำตาคลอ หมอบกราบลง ขอบพระคุณที่ท่านเมตตาเธอ
ดัดกิเลสคนขี้เกียจ...ให้มีปัญญา
เมื่อปี พ.ศ. 2536 วันหนึ่งพระหลวงตาเดินเข้ามาเขตปฏิบัติธรรม (ฝ่ายผู้หญิง) ท่านชี้มือไปที่ต้นไม้ข้างบ่อน้ำบาดาลที่อยู่ใกล้ ๆ กฏิคุณแม่ ท่านสั่ง “ตัดต้นไม้นี้ออก มันไม่มีประโยชน์ เดี๋ยวมันไปแย่งอาหารต้นไม้ต้นอื่น” ข้าน้อยก็มองไปรอบ ๆ ว่าท่านบอกใครไม่เห็นมีใคร ก็แปลว่าบอกเรา...ท่านพูดจบ ท่านก็เดินลัดเลาะดูบริเวณทางกุฎิใหญ่คู่แล้วเดินกลับไปเขตสงฆ์...นั่งมองดูท่านเดินลับหายไป
จึงคิดหาทางออก ไม่อยากตัดต้นไม้ เพราะกลัวเหนื่อย...เลยเดินไปที่กุฎิคุณแม่ เล่าให้ท่านฟังว่าพระหลวงตาให้ตัดต้นไม้นั้นทิ้ง หวังให้ท่านสั่งให้คนอื่นทำ ตัวเองจะได้สบาย แต่ท่านกลับบอกว่า “อย่าตัดนะ ต้องขุดเอารากแก้ว รากฝอยออกให้หมด เอาดินถมหลุมที่ขุดให้นูนสูงขึ้น เวลาฝนตก ดินแน่น หน้าดินจะได้เสมอกัน ด้วยความขี้เกียจ ผิดหวังที่ไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ จึงรวบรวมความกล้า ถามท่านว่า “ข้าน้อยเคยได้ยินว่าผู้ที่ได้ธรรมเสมอกัน ธรรมอันเดียวกัน ยิ่งเป็นพระอรหันต์จะไม่มีความเห็นต่างกัน มีความเห็นอันเดียวกัน เหมือนกันทุกอย่าง นี่ทำไมพระหลวงตาสั่งให้ตัด แต่ทำไมพระคุณแม่จึงสั่งให้ขุด ทั้ง ๆ ที่เป็นพระอรหันต์เหมือนกัน” คุณแม่ท่านคงรู้กิเลสขี้เกียจ ท่านกำชับเสียงเข้มว่า “ไม่รู้จักว่าพระหลวงตาท่านจะดูหัวตับ หัวปอด ยังไม่รู้อีก ลองทำตามท่านพูดดูสิ จะได้เห็นกิริยาของพระหลวงตา อย่างที่ไม่เคยเห็นไม่เชื่อก็ลองทำตามดู...สุดท้ายคนขี้เกียจก็ได้ทำตามท่าน ต้องขุดให้ถึงรากแก้วต้นไม้
วันต่อมา พระหลวงตาเดินเข้ามา แล้วทำกริยาเหมือนท่านบอกไว้ล่วงหน้าทุกอย่าง ทำให้ต้องรีบกลับมาถามท่านอีกทำไมท่านรู้ว่า “พระหลวงตาเดินมาถึงตรงนี้แล้ว ท่านจะมีกิริยาที่แสดงออกมาให้เห็นในลักษณะนี้ คุณแม่ท่านบอก “ภาวนาไป ความโง่หมดจากหัวใจ แล้วจะรู้เอง”
ผู้ถูกลืม
ขอบคุณ คณะสวนปฏิบัติธรรมกรรณิการ์ที่ให้โอกาส คนที่ทุกคน อาจลืมไปแล้วในความทรงจำ ชีวิตที่เคยถูกห้อมล้อมด้วยบุคคลอันที่รัก ฉันไม่เคยรู้เลยว่าบุคคลที่ฉันดูแล ห่วงใย ทนทุกข์แทบเป็นบ้าแทนพวกเขา หลายครั้งที่หัวใจเต้นแรง และในหัวใจเหมือนมีเข็มทิ่มแทงอยู่เป็นร้อย ๆ เล่ม เจ็บปวดทรมานจนต้องไปหมอที่โรงพยาบาล ไม่เคยสักครั้งที่ทุกคนที่ฉันรัก จะรู้ถึงความทุกข์ ปกปิดทุกอย่างเพื่อคน
รอบ ๆ ข้างจะได้สบายใจ
หลายครั้งที่เกิดคำถามขึ้นในใจ “ทำไมพระพุทธเจ้า ท่านจึงทิ้ง สิ่งอันเป็นที่รัก ไม่ว่าลูกเมีย สมบัติ ไปบำเพ็ญในป่าได้ ทำไมท่านทำได้” แล้วเราแค่จะสะกิดออกจากหัวใจ สมบัติที่เราแบกไว้มาชั่วชีวิต รู้ว่าหนัก ทำไมไม่ปล่อย รู้ว่าทุกข์ ทำไมต้องทน
ลมหายใจสุดท้าย เราจะได้อะไรกัน คงสายเกินไป สำหรับวัยในบั้นปลาย ลมหายใจเฮือกสุดท้าย ขอฝากถึง บุคคลที่ฉันรัก ทุก ๆ คน ลืมฉัน แต่ฉันไม่เคยลืม หนักเหลือเกิน รู้แล้ว “ทำไมพระพุทธเจ้าจึงทิ้งภาระที่ท่านแบกอยู่” ทำไมฉันไม่รู้ก่อนหน้านี้ก่อนทุกอย่าง
จะสายเกินไป
ทุกข์ - เกิด - แก่ - เจ็บ - ...
โดย...แม่ต้อย
ชีวิตเกิดมามีแต่ทุกข์ ไม่เคยมีสุข เป็นเด็กคิดมาก รับรู้ปัญหาทุก ๆ อย่างกับแม่ที่เอาลูกคนโตเป็นเพื่อนในยามทุกข์ พ่อตายขณะลำบาก ยายตาย ต่อมาลุงตาย สิ่งเหล่านั้นรุมล้อมอยู่รอบตัว ภาระต้องรับเลี้ยงดูแม่ น้อง หลาน ๆ ต่อมาอีก ล้วนเป็นภาระสำหรับชีวิตฉัน
พอมีโอกาสรีบไปวัดหาทางหนีทุกข์ ทุกข์กองนี้ทำไมมันจึงใหญ่นัก หนักนัก เมื่อไหร่จะพ้นจากทุกข์นี้ได้ หนักเหลือเกิน ทุกข์เหลือเกิน หัวใจโหยไห้หาสุข ชีวิตนี้จะพบสุขได้ที่ไหน บุญพาไปได้พบกับพระหลวงตา ท่านเมตตาพาไปทำบุญยังวัดต่าง ๆ มีคุณพรสวรรค์ ช่วยให้ได้มีโอกาสติดตามท่านไปมีรถพ่อเริญ
ลุงบุญ ถ้าอาหารเยอะมากจะหารถกระบะ - รถหกล้อขนอาหารทุกอย่างสด - แห้ง ท่านจะเช็คถามละเอียด ข้าว น้ำตาล อาหารสด - แห้ง กาแฟ โกโก้ แบ่งลงวัดต่าง ๆ ตามสัดส่วน บางวันไปได้วัดเดียวเพราะระยะทางไกลมาก
ไปเชียงใหม่ไปกราบหลวงปู่แหวนวัดดอยแม่ปั๋ง เชียงใหม่ ท่านสะพายบาตรบอกให้คอย “พ่อจะไปบิณฑบาตมาให้กิน” ท่านจะเอื้ออาทรมีเมตตาต่อทุก ๆ คน ที่อยู่ใกล้ท่านแล้ว ไม่อยากไปไหนเลย
การได้สัมผัสปฏิปทา ความเมตตาขององค์พระหลวงตา ทำให้ซึมซับกลายเป็นนิสัยได้เวลาตัวเองจะซื้อของไปวัดทำบุญ ถ้าของไม่เต็มคันรถรู้สึกไม่เต็มในใจ เรื่องนี้ทำให้ผู้เฒ่าผู้แก่ที่ชอบไปวัดจะมาบอกบุญเป็นประจำ ต่อมานิสัยสละทาน การทำบุญตกเป็นสมบัติของน้อง ๆ คิดถึงพระหลวงตาเทศน์ว่า “ครอบครัวหนึ่งเข้าวัด 1 คน
ก็เป็นประโยชน์กับทุก ๆ คนในครอบครัว เพราะคนเดียวในครอบครัวนี้หละ จะดึงคนอื่นรู้จักบุญกุศล”
จึงแสวงหาครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นเพศเดียวกัน ได้รู้จักคุณแม่ จึงขอมาปฏิบัติอยู่ใกล้ ๆ ท่าน ครูบาอาจารย์ผู้จะช่วยผ่อนทุกข์ พยายามปฏิบัติตาม ปฏิปทาเดินแกะรอยท่านไป ตามร่องรอยเท้า เข้าหาธรรมภายใน
วันหนึ่ง ในวัยที่ทุกคนไม่ปรารถนา ครูบาอาจารย์ท่านได้ช่วยส่ง ทำให้ได้สัมผัสธรรมอย่างไม่คาดคิด ธรรมที่สามารถพลิกจิตของลูกศิษย์แก่คนนี้ได้ชั่วข้ามคืน เหมือนช็อกไปแล้วฟื้น สลบไปตื่นมา จึงรู้ได้ว่าจิตเราเปลี่ยนแล้ว ธรรมความจริงที่จะเกิดกับจิตได้ถ้าไม่ได้ครูบาอาจารย์ช่วยแก้ ช่วยบีบคั้นศัตรูภายในใจ เราคงทิ้งอะไรจากใจไม่ได้ กิเลสในหัวใจ ใครจะช่วยฆ่าถ้าไม่ใช่ท่าน
แม่...ช่วยด้วย!
เมื่อ พ.ศ. 2538 แม่วันมาจำศีลภาวนาที่วัดป่าบ้านตาด กับลูกสาวคนสุดท้องพึ่งเรียนจบครูใหม่ ๆ ไม่รู้ประสีประสาเรื่องภาวนา คุณแม่จันดีเมตตาบอกเวลาเดินจงกรม หรือนั่งสมาธิให้ระลึกคำว่า “พุทโธ” ไว้ในใจ
แคร่ที่พักในป่าอยู่ห่างกัน พอตกกลางคืนก็มืดไปหมด มีเพียงแสงจันทร์ และแสงเทียน ลูกสาวเดินจงกรม ส่วนแม่วันนั่งสมาธิบนแคร่
ขณะเดินจงกรมลูกสาวก็ท่องพุทโธ ๆ ๆ ไปตลอดพอผ่านแคร่ที่แม่นั่งสมาธิก็จะร้องเรียก “แม่ !” แล้วก็เดินไปจนถึงหัวจงกรมผ่านกลับมาถึงตรงแม่นั่งอีก ก็เรียก “แม่ !” เที่ยวแล้วเที่ยวเล่า จนแม่วันทนไม่ไหว จึงร้องออกมาว่า “ถ้ามึงกลัวมึงก็มานั่งสมาธิซะ กูจะไปเดินจงกรมเอง” ลูกสาวได้ยินจึงรีบออกจากทางจงกรมทันที...
ตื่นเช้ามาช่วยทำครัว พวกพี่ ๆ ที่ครัวท่านว่าการทำครัวคุณแม่ว่า
“เป็นการทำทานอย่างหนึ่ง คือได้ทานแรงทำอาหารถวายพระ ซึ่งเป็นอุบายช่วยในการปฏิบัติภาวนาอย่างหนึ่ง เป็นการลดความเห็นแก่ตัว และเป็นการสานข้องที่จะจับปลา ปลาก็คือการภาวนา - ข้องคือการให้ทาน, ถือศีล เป็นฐานในการที่เราจะปฏิบัติภาวนา ขณะทำอาหารคุณแม่ไม่อยากให้คุยกัน ทำงานไประลึกพุทโธไปด้วยนะ”
เช้าวันรุ่งขึ้น ช่วงฉันอาหาร คุณแม่จันดีได้เมตตาบอกว่า “ในวัดเป็นดงเป็นป่าเก่าไม่มีป่าช้าไม่มีอะไรน่ากลัวหรอก เทพ-เทวา ท่านไม่ ทำอะไรมีแต่จะมาขออนุโมทนาบุญด้วย”
อุบายไม่ให้กลัวผี !
เมื่อครั้งพี่สาวตายใหม่ ๆ กลัวผีพี่สาวมาก ๆ ห้องนอนพี่สาวไม่กล้าผ่าน หรือเดินเข้าไปเลย เป็นเวลาเกือบ 3 ปีกว่า ๆ เวลานอนก็จะนอนใกล้ ๆ กับ อาจารย์พัน (พี่สาวที่เป็นครู อายุใกล้เคียงกัน) เวลาที่เขาจะไปไหนก็ไปด้วย และถ้าจะขึ้นบนบ้านก็จะชวนไปเป็นเพื่อนตลอด
มาทำบุญถวายจังหันองค์พระหลวงตา และพระที่วัดป่าบ้านตาด ได้แวะไปข้างในฝ่ายผู้หญิงถวายอาหารคุณแม่จันดี ท่านได้เมตตาบอก “ให้พยายามเข้า-ออกห้องพี่สาวที่ตายบ่อย ๆ มันจะเกิดความเคยชิน ถ้าไม่ไปเราจะกลัว และไม่กล้าเลย” และท่านได้เมตตาเล่าเรื่องของท่านเมื่อครั้งยังเป็นเด็กให้ฟังว่า “พวกพี่ชายพี่สาวจะกลัวผีมาก เวลาไปไหนตอนกลางคืน ชอบชวนท่านซึ่งเป็นเด็กกว่าพี่ ๆ ไปเป็นเพื่อนเสมอ เพราะเป็นคนไม่กลัวผีเลย และพี่ ๆ ให้เดินตามหลังตลอด...ท่านไม่กลัวเพราะเวลาท่านเดินไปไหน ๆ มักจะแผ่เมตตาการแผ่เมตตาช่วยทำให้จิตใจกล้าหาญไม่กลัวอะไร”
ท่านเมตตาธรรมต่ออีกว่า “พยายามให้มีสติอยู่กับปัจจุบัน ระลึกรู้อยู่กับพุทโธได้ตลอดเวลา พุทโธไม่มีสูงมีต่ำ อยู่ตรงไหนก็สามารถระลึกได้ทุกที่ ตั้งใจเอานะ”
จิตสงบ...กลัวจิตจะไม่ถอน
ที่บ้านขายอาหาร ต้องตื่นแต่เช้ามืด ก่อนนอนทุกคืนจะสวดมนต์ ไหว้พระ
และนั่งภาวนาก่อนนอนทุกคืน มากบ้าง น้อยบ้าง ตามกำลังของใจ ของกายในแต่ละวัน
พี่สาวครอบครัวทุก ๆ คนจะถูกปลูกฝัง กับการทำบุญจนทุกคนในบ้านทุก ๆ วันหยุด
หรือมีเวลาว่าง จะพากันไปวัดแทนการไปเที่ยว
ยิ่งพี่สาว 2 คน ในชีวิตแทบจะไม่รู้จักว่าไปเที่ยวเป็นอย่างไร เพราะพี่คนโตจะสอนน้อง ๆ ทุกคนว่า เวลาไปไหนอย่าไปด้วยกัน เวลาเจออุบัติเหตุ จะได้ไม่ตายพร้อมกัน คนที่มีชีวิตอยู่จะได้ช่วยเก็บศพ ดูแลการค้าต่อไป เป็นเหตุให้ทุกคนในบ้านมีความรู้สึกว่าการไปเที่ยวอาจไปตาย ไม่ได้กลับมาเจอพี่น้องอีก ทุกคนจึงยึดวัดเป็นที่พึ่ง
นับว่าพี่สาวคนโตที่เป็นหัวหน้าครอบครัววางแผนการเดินทางชีวิตของทุกคนในครอบครัว ตามธรรมที่ไม่ให้ทุกคนมีชีวิตอยู่โดยประมาท แล้วยังบอกให้ทุกคนรวมทั้ง แม่ น้อง และหลานอยู่กับพุทโธ ไม่ให้ประมาท พี่สาวจะพูดถึงอำนาจของ
พุทโธว่า “ท่านคุ้มครองเราได้” พี่สาวไปวัดป่าสายพระหลวงปู่มั่นประจำ โดยเฉพาะวัดป่าบ้านตาด เข้าวัดตั้งแต่สาวจนแก่ ใช้ชีวิตอยู่กับศีลธรรม ภาวนา เป็นผู้ปลูก ผู้ฝัง
หยั่งรากธรรมไว้ในใจของพวกเราทุกคน
คืนวันนั้นนั่งภาวนาเหมือนทุก ๆ วัน ไหว้พระสวดมนต์ แล้วเปิดเทศน์พระหลวงตาฟัง นั่งภาวนาระลึกพุทโธ ๆ ๆ รู้สึกตัวชาไปหมดแล้ว เย็นวูบ นิ่งเงียบ ความเจ็ดปวดที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ก็หายไป กายเบา จิตเบา เป็นอาการที่ไม่เคยพบเลยตั้งแต่เกิดมา รู้สึกเบาสบาย นั่งดูความสบายที่ไม่เคยพบมาก่อน จนคิดวิตกในใจว่า ถ้าจิตเราเป็นอย่างนี้ถึงเช้า เราจะเปิดร้านอาหารได้หรือ เราคงลงไปตลาดไม่ได้
ต่อมาเริ่มมีความรู้สึกเจ็บขึ้นมา จึงลืมตาขึ้น นาฬิกาเตือน 6 ทุ่ม มีโอกาสไปวัดภาวนา จึงกราบขอคำแนะนำพระคุณแม่จันดีตลอดมา
ได้แต่สิ่งดี ๆ ... แม่แดง
ครั้งแรกเจอคุณแม่จันดีที่บ้านเพื่อน หลังจากได้คุยกับท่าน มีความรู้สึกว่าท่านเป็นคนรับฟังเรื่องราวความทุกข์ของเรา เล่าความทุกข์ของตัวเองให้ท่านฟังจบ ท่านบอก “เรียนทางโลก จบไม่เป็น เรียนทางธรรม จบเป็น ตอนนั้นยังไม่เข้าใจความหมาย รู้ว่าท่านอยู่วัดป่าบ้านตาด จึงไปกราบขอพระที่ศาลามาพักภาวนา อยู่ใกล้ท่านรู้สึกสบายใจ ท่านจะมีวิธีช่วยให้ลืมทุกข์ในใจ ท่านจะเล่าเรื่องตลกขบขันให้ฟัง รู้สึกเบิกบานใจลืมความทุกข์ เวลาอยู่กับท่าน
มีโอกาสถวายนวดเส้นท่าน คืนนั้นนวดเสร็จจึงอธิษฐาน ขอให้ข้าพเจ้าพ้นทุกข์ในชาตินี้ ท่านพูดขึ้นทันที “ให้ขอใหม่ ขอสูงเกินไป ฟังไม่เข้าใจ” จึงขอใหม่อีก “ขอพ้นทุกข์อีก” ท่านจึงเอามือมาจับหัวผู้ขอ แล้วบอกว่า “อย่าขอสูงเกินไป”
ต่อมาท่านให้เร่งภาวนา “อย่านอนใจถ้าแม่ตายก็ขอให้ได้หลักใจไว้”
จึงตั้งใจภาวนา ใจที่เคยทุกข์ ได้พบที่หลบทุกข์ ปัญหาที่เคยทำให้ทุกข์ที่สุด ก็เข้าใจ และแก้ปัญหาได้ ด้วยธรรมของพระพุทธเจ้า
กว่าจะรู้คุณแม่ท่านได้ช่วยทุก ๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาชีวิต ทางโลก ครอบครัวทั้งช่วยให้ได้รู้จักที่ หลบหลีกทุกข์ คือการภาวนาสงบใจตัวเอง ตอนนี้ความจำเป็นของชีวิต ต้องดูแลหลานอยู่ที่บ้าน อาศัยหลักธรรมที่เคยปฏิบัติมา และได้ผลเป็นที่อยู่แห่งใหม่ของใจ คุณแม่ท่านช่วยย้ายทุกข์ ออกจากใจให้ เอาความสงบใจ เข้ามาแทน
ชีวิตนี้ท่านคือผู้มีพระคุณ
ยายจำปา...จอมซิ่ง
ยายจำปาเป็นขวัญใจของทุกคนในครัวกลาง เป็นคนขยัน เก็บทำความสะอาดครัว ได้รวดเร็ว เรียบร้อย อย่างไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใครสมกับที่เคยอยู่ประเทศฝรั่งเศสนาน ปัจจุบันลูก ๆ ก็ทำงานเป็นปึกแผ่น อยากให้แม่ในบั้นปลายชีวิตได้มีโอกาสหาทรัพย์ภายใน กับองค์พระหลวงตามหาบัว และคุณแม่จันดี ลูกสาวจึงซื้อรถเก๋งฮอนด้าแจสสำหรับให้แม่ได้ขับมาวัดสะดวก
วันนั้นงานกฐินวัดป่าบ้านตาด พ.ศ. 2552 ยายจำปาได้ช่วยอย่างเต็มที่ ช่วยเก็บดูแลความเรียบร้อยในครัวกลางหลังจากเสร็จงานกฐินต่ออีก 3 วัน ก่อนจะไปช่วยงานกฐินที่วัดบ้านแพง จังหวัดนครพนม วัดที่พระลูกชายได้บวชอยู่ ก่อนจะไปก็ไปกราบลาคุณแม่จันดี
ท่านให้พรบอกว่า “ขอให้เดินทางปลอดภัยนะ” กราบขอบพระคุณในความเมตตาของท่าน
ยายจำปากับยายหนูพัน จึงออกเดินไปพร้อมกับรถฮอนด้าแจสคู่ใจ (ใคร ๆ ที่เคยนั่งรถแก จะรู้ดีว่าขับรถเร็วเหมือนรถไฟฟ้า ใครเป็นโรคหัวใจจะไม่นั่งรถที่แกขับ)
ขณะขับถึง อำเภอบึงโขงหลง ฝนตกพร่ำ ๆ พอถึงทางโค้ง ทันใด!นั้นมีรถมอเตอร์ไซด์ อยู่ข้างหน้า รถแจสหักหลบวิ่งพุ่งชนราวกั้นถนนทางหลวงเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ยายจำปาและยายหนูพันตกใจสุดขีด ขณะนั้นเหมือนมีคนมาอุ้มไว้ สติค่อยกลับมา รีบเปิดประตูรถออกมา
โทรศัพท์บอกน้องสาว น้องตกใจมาก “ถามว่าพี่เป็นยังไงบ้าง ได้รับอันตรายมากมั้ย
พี่หนูพันละเป็นยังไง” เสียงยายจำปา สั่น ค่อย ๆ ลำดับเหตุการณ์ เล่าให้ฟังถึงวินาทีเฉียดตายที่ผ่านมาว่าแปลกขณะที่ทุกอย่างเกิดขึ้นรู้ว่าควบคุมอะไรไม่ได้แล้วใจสั่นกลัวมาก แต่เหมือนมีคนมาอุ้มไว้ ถามยายหนูพัน ก็มีความรู้สึกเหมือนกัน พอถูกอุ้มความกลัวในใจลดลง อบอุ่นมั่นใจขึ้นทันทีว่าตัวเองปลอดภัย รู้ว่าคนที่อุ้มเราไว้ต้องเป็นพระคุณแม่จันดีแน่นอน.
เรื่องของแม่จอม
บ้านอยู่ในตัวจังหวัดอุดร สามีไม่ค่อยสบายอยู่บ้าน เป็นเพื่อนกันในยามแก่ ถ้าว่างจะพากันมาทำบุญที่วัดป่าบ้านตาด และไปวัดอื่นบ้างตามสภาพ และเวลาอำนวย
มาพักภาวนา ที่วัดป่าบ้านตาด ขอเข้าพักที่ศาลาครัวคุณแม่จันดี อยู่ได้ไม่นานต้องรีบกลับบ้าน เป็นห่วงสามีที่ป่วยต้องอยู่บ้านคนเดียว มีช่วงหนึ่งไม่ได้มาที่วัดนานมาก แต่ก็ภาวนาอยู่ตลอด วันหนึ่งนั่งสมาธิอยู่ที่บ้าน จิตสงบละเอียด เห็นเป็นภาพคุณแม่จันดีขึ้นมา ท่านพูดขึ้นเสียงดัง “จะมาห่วงใยอะไรมากมาย สมบัติภายนอก ก็หามากต่อมากแล้ว ไปหาสมบัติภายในกันต่อเถอะ” ตอนเช้าวันต่อมา เข้าไปกราบท่าน แล้วเล่าเรื่องที่เห็นขณะนั่งภาวนาให้ท่านฟัง
จากนั้นเวลาจะขออนุญาตสามีมาพักภาวนาที่วัด สามีอนุญาตให้มาได้นานหลายวัน ยิ่งช่วงเข้าพรรษาอนุญาตให้อยู่วัดภาวนาได้ทั้งพรรษา คุณแม่จันดีท่านเป็นครูต้นแบบทุกอย่าง ท่านบอกสมัยก่อนท่านบุกบืนปฏิบัติภาวนา ทำอาหารถวายพระ
ทำกิจวัตร ดูแลผู้เฒ่า ทำให้แม่จอมมาช่วยทำอาหารที่ครัวกลางตลอด
หลังจัดเตรียมอาหารที่ครัวไว้ถวายพระเช้าวันรุ่งขึ้น ทำธุระส่วนตัวเสร็จ
รีบไหว้พระสวดมนต์ทำวัตรเย็น นั่งภาวนา คืนนั้น ฝันเห็นพญานาคตัวใหญ่มาก อ้าปากแดง เห็นพระคุณแม่นั่งอยู่ในปากพญานาค แต่พญานาคไม่ทำอะไรท่านเลย สะดุ้งตื่นขึ้นทันที รีบลุกภาวนาต่อ เพราะเป็นภาพที่ยังติดตาติดใจ ทุก ๆ ครั้งที่ขี้เกียจภาวนา จะนึกถึงภาพนั้นมาสอนตัวเองไม่ให้ขี้เกียจ ถามตัวเอง “อยากเป็นผู้วิเศษเหมือนท่านมั้ย พญานาคที่เรากลัว ท่านยังไปนั่งในปากเขาได้ แล้วพญานาคผู้มีฤทธิ์มากยังรักษาคุ้มครองท่าน อยากได้ธรรมเหมือนท่าน ต้องขยัน พากเพียรจนถึงวันหมดลม”
เวลาคุณแม่ท่านพานั่งกินข้าวรวมกันที่ศาลาครัวฉัน จะเป็นโอกาสของลูกศิษย์ทุกคนที่นั่งอยู่ จะได้ฟังท่านพูด บางคนก็พูดเพลินไปตามเรื่อง ท่านจะมีวิธีทดสอบโดยตั้งคำ หรือชวนคุย คนช่างรู้ทั้งหลายจะรีบตอบ แล้วคุยต่อไม่รู้จักจบ ท่านจะเตือนสติ ลูกศิษย์เสมอเรื่องการตอบให้ตรงคำถาม จะพูดอะไรให้มีสติ พูดแต่น้องฟังให้มาก
ปริญญาโทโลก...สู่ธรรม
jewlekk@hotmail.com
ช่วงได้ปฏิบัติธรรมกับคุณแม่จันดี หลังจากกราบเรื่องภาวนา ถวายท่านแล้ว ท่านแนะด้วยประโยคสั้น ๆ ว่า “ให้ดูจิตมีอะไรจี้ลงในจิต” ฟังแล้วเกิดคำถามมากมายขึ้นในใจแต่ไม่มีคำตอบ ได้พยายามทำตามที่บอก
วันหนึ่งขณะเดินจงกรมอยู่เกิดปรากฎการณ์เกี่ยวกับความเป็นจริงของร่างกายที่แสดงตัวชัดเจนประจักษ์ใจ สลดสังเวชกับความไม่มีสาระแก่นสารของกายนี้ จนน้ำตาไหลอยู่พักใหญ่ ออกจากทางจงกรม เข้ากราบเรียนพระคุณแม่ ท่านฟังจบถามขึ้นว่า “แล้วลูกดูความสลดสังเวชนั้นหรือเปล่า” ตอบท่านว่า “ไม่ได้ดูเจ้าคะ ลูกลืม”
ในระหว่างนั้นได้ย้อนรำลึกดูถึงสภาวะที่ไม่ได้ดูความสลดสังเวชว่าเป็นเพราะเหตุใด ทำให้เห็นตัวการที่ทำลืมดูจิตที่เกิดความสลดสังเวช ซึ่งก็คือ “ความพอใจที่จิตเกิดความสลดสังเวชมีการให้ค่าอย่างไม่รู้ตัวว่ามาถูกทางแล้ว จิตหลงเข้าไปในความพอใจ เห็นว่าเป็นความสำเร็จแล้ว ค้างอยู่ที่จุดนี้” การที่พระคุณแม่ท่านทักขึ้นที่ตรงนี้ ทำให้เห็นความ “ยอกย้อนซ่อนเงื่อนของกิเลสในจิตที่ทำให้หลงทิศผิดทางไปได้ตลอดเวลา หลอกให้เราให้ค่ากับสิ่งที่เกิดขึ้น ในจิตว่าดี ไม่ดี ถูกผิด สำเร็จ ล้มเหลว แล้วก็ดีใจ เสียใจ พอใจ ไม่พอใจ อยู่แค่นี้ทั้ง ๆ ที่ประเด็นเหล่านี้ไม่ใช่เนื้อหาแก่นแกนของการปฏิบัติ เพื่อความพ้นตัวแม้แต่น้อย
คงจะไม่มีโอกาสแม้เพียงเศษเสี้ยวธุลีที่จะได้เห็นสภาวะเช่นนี้ หากไม่ได้รับฟังคำชีแนะที่เท่าทันกิเลสในช่วงนั้น แม้ในระยะต่อมาสิ่งที่เห็นในครั้งนั้นยังคงเป็นพื้นฐานที่ทำให้ขึ้นใจขึ้นเป็นลำดับ ๆ ๆ ในระยะต่อมาว่าทุกสภาวะที่เกิดขึ้นในจิตล้วนไม่เที่ยง เกิด ขึ้นชั่วระยะ แล้วดับไปในที่สุดไม่มีสาระใด ๆ ที่ควรแก่การยึดมั่นสำคัญหมาย
การได้เรียนธรรมจากองค์พระคุณแม่ และปฏิบัติตามคำสั่งสอนของท่านเป็นการย่นภพ ย่นชาติอย่างมีในสำคัญ อย่างยากที่จะหาได้ในสังสารวัฏนี้
ข้าราชการบำนาญ
ชีวิตลำบากต่อสู้ เพื่อให้ได้ตามที่หวังไว้ ยอมทนทุกอย่างเพื่อให้ได้อย่างที่ใจหวัง สมบัติทางโลกได้สมใจหวังไว้พอสมควร จึงลาออกจากราชการ มาปฏิบัติธรรมวัดป่าบ้านตาด ช่วงแรกไปพักกับแม่อุไร ช่วยงานทุกอย่าง ต่อมาแม่อุไรคงสงสารจึงบอกให้ไปภาวนา ตั้งใจภาวนา พักอยู่กุฏิ 23 เวลาไม่มีงาน ทำจิตก็ไม่ได้เป็นอย่างที่อยากให้เป็น การภาวนาไม่เหมือนหาสมบัติทางโลก ความอยากที่ตั้งไว้ กลายเป็นอุปสรรคใหญ่สำหรับตัวเอง จึงออกมาช่วยทำครัว ที่ครัวกลางมีคุณแม่ท่านดูแลอยู่ “ท่านไม่รับ” ท่านว่า “เดี๋ยวแม่อุไรจะไม่เข้าใจ” เพียรขอท่านหลายครั้ง...ท่านจึงบอก “ถ้าแม่อุไรมาตามให้บอกให้หมด แม่ไม่ได้เรียกมา”
แม่อุไรมาจริง ๆ เสียงแม่อุไรดังขึ้น รีบวิ่งไปซ่อนตัว ตัวสั่น ลืมที่คุณแม่ท่านสั่งไว้หมด ได้ยินเสียงพี่เขาที่อยู่ในครัวตอบแม่อุไร “ไม่มีใครเรียก เขามาเอง”
แม่อุไรกลับไป รีบออกจากที่ซ่อนเดินเข้าไปกราบคุณแม่ ท่านบอก “ตัวเจ้าสั่นไปหมด ไม่เป็นไรหรอก ครูอุไรเข้าใจแล้ว” ก้มกราบท่าน กลับมาทำครัวต่อ
จากนั้นท่านก็เมตตาสอนธรรม และความถูกต้องทุกอย่าง พยายามอดทน บุกบืนทำตามคำสอนท่าน ท่านชี้ให้ดูจอมปลวก ไปขุดตอรากไม้ใกล้แคร่ในป่าท่าน
“ทำอะไรต้องทำให้สำเร็จ
เลื่อมใสในพระศาสนา
โดย...ป้าษร
ที่บ้านจะมีกระดานตารางสำหรับจัดเวลาให้ตัวเองเพื่อสร้างบุญกุศล เป็นคนที่มีตารางชีวิต ระเบียบแบบแผนทุกอย่าง คงซึมซับจากคุณลุง(สามี) เป็นทหารทุกอย่างจึงอยู่ในกฎกติกา สามีตายป้ารับสมบัติที่ดีมา เมื่อเวลาภาวนา จึงตั้งกฎกติกา ไว้ตามที่อยากให้เป็น แต่มารู้ภายหลังว่าการภาวนาไม่ใช่อย่างที่คิด
วันนั้นพยายามทำตามคุณแม่จันดีบอก “ปล่อยจิตให้สบาย ๆ อยู่กับปัจจุบัน ระลึกรู้อยู่แต่กับพุทโธให้เป็นสายต่อเนื่อง” เลยคิดถึงงานที่เคยทำเป็นพยาบาล เลยกำหนดเป็นรับเอกสารพุทโธ เป็นสิ่งที่เรากำลังยื่นส่งไป พุทโธถูกลำเลียง ส่งเข้าไปวางตู้เอกสารข้างใน คือใจ ส่งไปเรื่อย ๆ ขณะที่จิตเพลินกันพุทโธ จิตสงบเห็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ถูกใบไม้ เถาวัลย์ ปกคลุมอยู่ หนาแน่น เต็มไปหมด เห็นตัวเองพยายามดึงเถาวัลย์ ใบไม้ออกจากพระพุทธรูปใหญ่องค์นั้น ในใจได้แต่คิด คงไม่มีใครเห็นพระพุทธรูปองค์นี้ จึงปล่อยให้เถาวัลย์ปกคลุมจนแทบจะมองไม่เห็น...จิตถอนรู้สึกความซาบซึ้งในพระศาสนาบุญกุศล แน่นหนาขึ้น มีน้ำหนักมากกว่าเดิม จึงตั้งจิตขอมาช่วยงานบุญที่วัดป่าบ้านตาด และพักภาวนาเป็นระยะ โดยอาศัยพึ่งป้านงคนดี พี่นงน่ารักมาก ขับรถมารับไปทำบุญ พักภาวนาด้วยกันตามเวลาอำนวย
อาศัยฟังเทศน์พระหลวงตาทางวิทยุ และขอคำแนะนำการปฏิบัติจากคุณแม่ ท่านจะแนะวิธีแก้ปวดขา เวลานั่งภาวนาถ้าจิตสงบ จะไม่รู้สึกเจ็บ อย่าเอาใจไปจ่อที่ความเจ็บ” ได้พยายามหลายครั้ง มีคติสอนใจตัวเอง ขณะความเจ็บปวดแสดงอาการ ขอทนอีกเม็ดงาเดียวก็พอ อาศัยท่องคำนี้แทนพุทโธ ได้ผลทนความทรมานผ่านเจ็บมาได้ รู้สึกภาคภูมิใจว่าเราได้สู้ทุกข์ ความเจ็บปวด ชนะใจที่ไม่อยากทน
ชีวิตในหัวใจ...ป้าแต๋ว (อาจารย์นิรมล)
เกษียณราชการบั้นปลายมาอยู่กับลูกที่กรุงเทพฯ ลูกชายคนโตไม่ค่อยสบายอยู่ที่อุดร เป็นเหตุให้ต้องกลับมาเยี่ยมเขา และรับเงินบำนาญ ด้วยความรักเป็นห่วงลูกชาย จึงไปวัดป่าบ้านตาด ทำบุญขอพรจากพระหลวงตา ให้ช่วยคุ้มครองลูกชายให้หายป่วยจากโลกที่เขาเป็นอยู่
ได้มีโอกาสรู้จักคุณแม่จันดี ทราบว่าท่านมีเมตตา จึงนำเรื่องทุกข์ในใจของเราไปเล่าให้ท่านฟัง ท่านแนะว่า “เวลาทำบุญอะไรทุกครั้งก็แผ่ให้เขา ยกบุญที่เราทำทั้งหมดให้เขาได้รับ จิตเขาได้รับบุญกุศลที่แม่พยายามส่งไปให้ เขาจะค่อย ๆ ดีขึ้น”
ท่านคงรู้ว่าจิตใจจะมีแต่ห่วงลูกห่วงหลานจนลืมตัวเองว่าตอนนี้คนที่น่าสงสารที่สุดคือเรา ผู้นั่งอยู่ในกองทุกข์ ต่อหน้าท่านขณะนี้ ท่านบอกว่า “ไปไหนก็ให้ระลึกพุทโธ ให้ภาวนาก่อนนอน ไหว้พระสวดมนต์ พาลูกหลานภาวนาอย่าให้ขาด
ทำไป ทำไป จิตสงบ แล้วสบาย มันไม่ตายหรอกภาวนานะ” ท่านสั่งอีก “อย่าลืมภาวนา ให้ภาวนาเด้อ” คิดถึงความเมตตา น้ำเสียงที่ท่านเป็นห่วงเรา แต่เราทำไมไม่ห่วงตัวเอง จึงพยายามทำทุกอย่างตามที่ท่านขอให้ทำ ลูกชายที่ป่วยอยู่อุดร ก็อาการดีขึ้น ไปหาหมอเองได้ ทำให้จิตใจของแม่ที่แบกลูก 7 คน หลาน ๆ อีกผ่อนคลาย ความทุกข์ลง และพยายามแหวกวงล้อมของความยึด ออกจากใจ เหมือนครูบาอาจารย์ท่านแนะสอน
ไม่รู้ว่าท่านกำลังสอน
โดย.... ครูนิด