ความคืบหน้าการก่อสร้างวิหารพระพุทธเจ้าสิืขี ณ สำนักปฏิบัติธรรมป่าวิเวกสิกขาราม ช่วงปลายมกราคม - กลางกุมภาพันธ์ 2554หมายเหตุ: ที่ใต้วิหารพระุพุทธเจ้าสิขีที่กำลังสร้างนี้ ลึกลงไป เป็นที่ประดิษฐานพระเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาุตุของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสิขี เมื่อ 31 กัปป์ล่วงมาแล้ว ขอพุทธานุภาพแห่งพระองค์ และอานุภาพแห่งการอุทิศกำลังกาย กำำลังใจ และกำลังทรัพย์ของทุกท่านเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา จงเป็นประดุจดวงประทีปช่วยนำทางผู้ปฏิบัิติธรรมให้ถึงฝั่งพระนิพพานด้วยกันทุกท่านเถิด






















ซ้ายมือสุด คือ พระพุทธรูปปางสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์ (สมเด็จองค์ปฐม) ที่มีผู้นำมาถวายโดยมิได้นัดหมาย
เพียง 1 วันหลังจากที่ท่าน "ผู้รู้" ได้ไปกราบ
สมเด็จองค์ปฐมที่วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี
เรื่องเกี่ยวกับสมเด็จองค์ปฐมโดย ท่านผู้รู้
เรื่องสมเด็จองค์ปฐม
เล่าถึงเหตุการณ์ วันที่ 20 มกราคม 2554 เวลา 15.00 น โดยตัวผู้เขียนมีความสงสัยมากในเรื่อง พระพุทธเจ้าองค์ปฐม ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ และค่อนข้างจะไม่เชื่อด้วย แต่ในวันที่ 20 มกราคม 2554 พระอาจารย์ได้ออกมารับโยมคณะหนึ่ง ซึ่งไม่รู้จักมาก่อน ท่านห่มจีวรและนั่งท่านี้ โดยไม่ได้ตั้งใจมาก่อน (เพราะปกติท่านไม่เคยนั่งท่านี้) ท่านก็เทศนาตอบสนทนากับโยมที่มาทำบุญ โดยท่านเทศนา ในเรื่องพระนิพพานไม่สูญ จริยาการพูดท่านนิ่มนวลมาก ตัวผู้เขียนได้เห็นพระองค์หนึ่ง นั่งอยู่ด้านหลังพระอาจารย์ โดยนึกในใจคาดว่า จะเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง เพราะว่าท่านสูงมาก และเหมือนพระพุทธเจ้าที่เคยเห็น แต่ตัวผู้เขียนเอง ไม่เคยเห็นท่านมาก่อนเลย จึงสงสัย และถามว่าท่านเป็นใคร ท่านก็บอกว่า เราเป็นต้นวงศ์ ของพระพุทธเจ้า ท่านมาประทับท่าปางนิพพาน ห่มจีวรแล้วก็หายไป ตัวผู้เขียนจึงรีบนำกล้องมาถ่ายท่านั่งของท่านพระอาจารย์ไว้ เนื่องจากเป็นท่าเดียวกับพระพุทธเจ้า เพื่อให้คนอื่นได้ชม ต่อมาคุณกัปตัน ได้นำหนังสือธรรมวิโมกข์มาให้ดู ปกหลัง มีรูปพระองค์หนึ่งชื่อว่าพระวิสุทธิเทพ นั่งท่าเดียวกับพระพุทธเจ้าที่ผู้เขียนเห็น คุณกัปตันก็บอกนี่ พระพุทธเจ้าองค์ปฐม ก็เลยแปลกใจมากว่าตรงกัน เพียงแต่ ที่ผู้เขียนเห็นทรงจีวร ส่วนพระวิสุทธิเทพท่านทรงเครื่องกษัตริย์ ต่อมาในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2554 คุณกัปตันได้ชวนผู้เขียนให้ไปวัดท่าซุง ที่จังหวัด อุทัยธานี ซึ่งผู้เขียนไม่เคยไปมาก่อน จึงได้ตกลงว่าจะไป แต่ก็หาโอกาสว่างยังไม่ได้สักที พอว่างหลังจากพบแพทย์แล้ว จึงได้ไปวัดท่าซุงกัน ปรากฎว่าพอไปถึงวัดท่าซุง มีพระองค์หนึ่งออกมารับหน้าวัด เป็นพระปางพระพุทธชินราช แต่พระพักตร์เหมือนกับที่เห็นอยู่ด้านหลังพระอาจารย์ จึงมั่นใจแน่นอนว่าวัดนี้คือ วัดท่าซุง จึงถามคุณกัปตันว่า วัดที่มีรั่วออกสีแดงๆ นี่ใช่วัดท่าซุงมั้ย คุณกัปตันก็บอกว่าใช่ คุณกัปตันก็ถามว่าต้องการไปที่ไหนก่อน ผู้เขียนบอกว่า ไปดูพระวิสุทธิเทพก่อน จึงพากันเข้าไปในวิหารพระวิสุทธิเทพปางนิพพาน ก็ปรากฎว่าพบพระพุทธเจ้าองค์เดิมอีก ท่านก็มาสั่งงาน ในกิจพระพุทธศาสนา ตัวผู้เขียนก็บอกว่าไม่ไหวหรอก บารมีไม่พอ ท่านก็บอกว่า พอ แล้วท่านจะช่วย ตัวผู้เขียนก็สงสัยว่าท่านจะช่วยอย่างไร ต่อมาจึงนำไปกราบเรียนให้พระอาจารย์ฟังในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2554 แล้วกราบเรียนให้ท่านฟัง เรื่องพระพุทธ์เจ้าองค์ปฐม ท่านก็บอกว่าที่วัดมีคนนำพระพุทธรูป สมเด็จองค์ปฐมมาถวายในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ โดยไม่ได้รู้จักกันมาก่อน ซึ่งผู้เขียนก็ประหลาดใจมาก จึงเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับสมเด็จองค์ปฐมว่ามีจริง และท่านก็ยืนยัน พระนิพพานไม่สูญ

ทั้งนี้ ที่วัดท่าซุง หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ได้จารึกพระนามของพระองค์ไว้ว่า
"สมเด็จพระพุทธสิกขีทศพลที่ 1"ด้วยเหตุนี้ พระอาจารย์วิชัย จึงมีดำริว่าจะอัญเชิญพระพุทธรูปพระองค์นี้ ไปประดิษฐานที่วิหารของพระพุทธเจ้าสิขีด้วย
พร้อมกับพระพุทธรูปหยกขาว องค์แทนพระพุทธเจ้าสิขี ที่ตั้งไว้ก่อนหน้านี้ ดังนั้น หลังจากวิหารก่อสร้างเสร็จ
ก็จะมีพระพุทธรูปทั้ง 2 องค์ ประดิษฐานไว้ในวิหาร คือ พระพุทธรูปปางสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์ (
แทนองค์สมเด็จ
องค์ปฐม หรือคือสมเด็จพระพุทธสิกขีทศพลที่ 1) และพระุพุทธรูปหยกขาว (
แทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสิขี ที่ทรงพระชนม์ชีพเมื่อ 31 กัปป์ที่แล้ว)
หมายเหตุ ประวัติสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปฐม แบบย่อ โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ
" ท่านสาธุชนทั้งหลาย ตอนนี้ก็มาพูดกันถึงเรื่อง สมเด็จองค์ปฐม สำหรับคำว่า “สมเด็จองค์ปฐม” ก็คือพระพุทธเจ้าองค์แรกหรือองค์ที่ 1 เรียกว่า “องค์ปฐม” ขอเล่าย้อนตอนหลังสักนิด คือเมื่อประมาณ พ.ศ. 2511 ตอนนั้นอาตมา (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง) มาอยู่ที่วัดท่าซุงแล้วและ พล.อ.อ.อาทร โรจนวิภาต เวลานั้นเป็นนาวาอากาศเอก เป็นผู้บังคับกองฝึกโรงเรียนการบิน ที่นครราชสีมา ทราบว่าอาตมาป่วย จึงนิมนต์ไปพักที่นั้น ตอนกลางคืน สามีภรรยาก็นั่งเจริญพระกรรมฐาน อาตมาเป็นคนแนะนำ ขณะที่แนะนำเขาอยู่ เมื่อเสร็จแล้วก็ทำสมาธิ ขณะที่ทำสมาธิ บรรดาท่านพุทธบริษัท สิ่งที่คาดไม่ถึงก็ปรากฏขึ้น นั่นคือเห็นเป็นพระพุทธเจ้าในปางนิพพานยืนสองแถวยางเหยียดไปข้างหน้า แล้วก็พนมมือ จึงมีความรู้สึกในใจว่า บางที่อาจเป็นอุปทานของเรา เพราะว่าพระพุทธเจ้าไม่เคยก้มศีรษะให้ใคร แม้แต่บ้านเรือนเล็กๆที่หลังคาต่ำๆ ที่พระพุทธเจ้าเข้าไป หลังคา ก็สูงขึ้น แต่เวลานี้เราเห็นพระพุทธเจ้ายืนพนมมือ อุปาทานคือกิเลสคงกินใจมาก เมื่อนึกเพียงเท่านี้ ก็เห็นภาพ หลวงพ่อปาน ปรากฏขึ้นข้างๆ ท่านบอกว่า “คุณ…..ไม่ใช่อุปาทาน ประเดี๋ยวพระพุทธเจ้าองค์ปฐมจะเสด็จมา” อีกประมาณสัก 5 นาที ปรากฏว่ามีพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง รูปร่างใหญ่โตมาก สูงมาก มาในรูปของปางนิพพาน เดินมาระหว่างช่องกลาง พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ก้มศรีษะแสดงความเคารพ เพราะพนมมืออยู่แล้ว พอท่านเดินมาถึงอาตมา ท่านก็พูดว่า “ข้าจะนั่งที่ไหนหว่า….ในเมื่อไม่มีที่นั่ง ข้าเอาหัวแกเป็นแท่นก็แล้วกัน” ก็เลยนั่งบนหัว แล้วก็บอกว่า “นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ก่อนที่แกจะสอนกรรมฐานก็ดี จะพูดธรรมะก็ดี จะเทศน์ก็ดี บอกฉันก่อน ฉันให้พูด ตอนไหนจะเทศน์ตอนไหน ให้ว่าตามนั้น” ก็เป็นความจริงบรรดาท่านพุทธบริษัท เวลาสอนกรรมฐานก็ดี เทศน์ก็ดี บางที่คิดว่าวันนี้ จะพูดเรื่องอย่างนี้ แต่พอพูดเข้าจริงๆ เรื่องนั้นไม่ได้พูด ไปพูดอีกจุดหนึ่ง อันนี้เป็นลีลาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ การเทศน์ของพระพุทธเจ้ามุ่งเฉพาะบุคคลสำคัญคนใดคนหนึ่ง ไม่ได้หวังคนทั่วไป คนจะนั่งสักหนึ่งพัน สองพัน ห้าพันก็ตาม ท่านจะดูจิตใจว่า บุคคลใดจะรับคำเทศนาของท่านได้ จะสามารถบรรลุมรรคผลได้ ท่านจะจี้จุดเฉพาะคนนั้น เอาจุดเด่น แต่ว่าคนที่มีความดี ใกล้เคียงกัน ก็พลอยบรรลุมรรคผลไปตามๆกัน "
ทั้งนี้ สมเด็จองค์ปฐมทรงพระนามว่า “สมเด็จพระพุทธสิกขีที่1” แต่พระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้ผ่านไปแล้ว อาจจะมีชื่อซ้ำกันก็ได้ โดยเฉพาะ ชื่อนี้มีด้วยกันถึง 5 พระองค์ จึงเรียกขานกันว่าเป็น
“สมเด็จพระพุทธสิกขีที่ 1” พระองค์จึงทรงเป็นต้นพระวงศ์ ของ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ จึงสมควรยกย่องพระองค์ว่าทรงเป็น
“สมเด็จองค์ปฐมบรมครู" อย่างแท้จริง
ครั้งหนึ่ง พระพุทธองค์เสด็จมาเล่าให้ฟังที่บ้านสายลมว่า สมัยที่พระองค์ทรงอุบัติในโลกมนุษย์ ในเวลานั้นคนมีอายุขัย ประมาณ 8 หมื่นปี พระองค์เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์เมื่อพระชนมายุได้ 4 หมื่นปีหลังจากทรงผนวชแล้วเป็นเวลาอีก 2 หมื่นปี จึงได้ ทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์แรกของโลก พระองค์ทรงสั่งสอนเวไนยสัตว์อีกประมาณ 2 หมื่นปี จึงเสด็จดับขันธปรินิพพาน หลังจากทรงใช้เวลาอันยาวนานถึง 40 อสงไขยกัป ในการบำเพ็ญพระบารมี เพื่อแสวงหาพระโพธิญาณด้วยพระองค์เอง"